นายรักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เปิดเผยภายในงาน Thailand Investment Forum 2025: Great Depression พลิกเกมฝ่าวิกฤติ จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจ และโพสต์ทูเดย์ ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ "ปัญหาหนี้เสียลูกใหญ่" ที่อาจก่อตัวชัดเจนและรุนแรง โดยจะเริ่มเห็นสัญญาณในช่วงไตรมาส 4 ปี 2568 ถึงไตรมาส 1 ปี 2569
“ปัจจุบันระบบสินเชื่อของไทยมีมูลค่ารวมราว 19 ล้านล้านบาท ซึ่งเทียบเท่าขนาดจีดีพีทั้งประเทศ แต่หนี้ที่เริ่มผิดนัดชำระหรือมีปัญหานั้น กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบระบบหนี้ของไทยเป็น “แม่น้ำ 3 สาย” ที่ไหลรวมกันเป็นมวลหนี้เสี่ยงรวมกว่า 2 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น
"ทั้งหมดนี้จะไหลมารวมกันช่วงปลายปีนี้ คาดว่าจะมีหนี้ที่ต้องรับมือราว 1.2–1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งหากใช้โมเดลเดิมของบริษัทบริหารหนี้ (AMC) จะรับไม่ไหว ซึ่ง AMC ทั้งระบบมีศักยภาพรองรับเพียงปีละไม่ถึง 20% ของหนี้ที่กำลังจะหลั่งไหลเข้ามา ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาสะสมต่อเศรษฐกิจในอนาคต“
สำหรับ BAM ในฐานะ AMC รายใหญ่ที่สุดของประเทศครองมาร์เก็ตแชร์กว่า 50% เทียบตัวเองว่าเป็น “แก้มลิง” มีความพร้อม ในการบำบัดหนี้ เฉลี่ยปีละแค่ 1 แสนล้านบาทเท่านั้น ใกล้เคียงกับ AMC เอกชนอีกราว 88 รายรวมกันอีก 1 แสนล้านบาท รวมแล้วคือ 2 แสนล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้ มองว่า หากเรายังใช้โมเดลธุรกิจเดิม เราจะไม่สามารถรีไซเคิลหนี้กลับมาเป็นสินทรัพย์ดีของประเทศได้เลย ดังนั้น BAM กำลังเร่งปรับโมเดลใหม่ผ่าน TDR Factory หรือ โครงการปรับโครงสร้างหนี้ ทำให้ BAM สามารถช่วยลูกหนี้กลับมาได้ หรือมีอัตราแก้หนี้สำเร็จสูงถึง 25–30% เทียบกับโมเดลเก่าที่เฉลี่ยแค่ 10–20%
ขณะที่ทรัพย์สินรอการขาย (NPA) จาก BAM จะกลายเป็น “ทางเลือกการลงทุนที่ดีที่สุดในยามวิกฤติ” ด้วยต้นทุนต่ำกว่าราคาประเมิน 10–16% และอัตราผลตอบแทนรวม (Total Return) ที่อาจสูงถึง 20–29% หากเลือกซื้อถูกที่