ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในครึ่งปีแรกยังคงเปราะบาง แม้จะมีความพยายามกระตุ้นจากภาครัฐ แต่ปัจจัยลบสะสมตลอดช่วงที่ผ่านมา ทั้งดอกเบี้ยขาขึ้น หนี้ครัวเรือนระดับสูง และเหตุแผ่นดินไหวช่วงต้นปี ยังคงส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและท่าทีของผู้ประกอบการ ส่งผลให้ยอดเปิดตัวโครงการใหม่ของตลาดรวมอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบกว่า 15 ปี
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์ว่า แม้ตลาดจะเริ่มมีแรงสนับสนุนจากมาตรการรัฐ เช่น การปลดล็อก LTV และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อาจเริ่มลดลงในระยะต่อไป แต่โดยรวมยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโดมิเนียม ซึ่งยังคงซบเซา ขณะที่แนวราบระดับกลางยังพอขับเคลื่อนได้ด้วยกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยจริง
อีกทั้งเสริมว่า แม้ภาพรวมยังไม่ฟื้น แต่ก็เริ่มเห็นสัญญาณบวกบางอย่าง เช่น ลูกค้ากลุ่มอยู่อาศัยจริงเริ่มกลับมา และการปลดล็อก LTV ช่วยให้กลุ่มที่เคยติดข้อจำกัดด้านเงินดาวน์สามารถกลับเข้าสู่ระบบได้ ขณะที่ผู้ประกอบการเองก็ยังคงเดินหน้าอย่างระมัดระวัง โดยเน้นทำเลที่มีกำลังซื้อและไม่เร่งขยายพอร์ตอย่างรุนแรง
ในส่วนของผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว นายไตรเตชะยืนยันว่าแม้จะกระทบยอดโอนในระยะสั้น แต่กลับกลายเป็นโอกาสในด้านความเชื่อมั่น เพราะลูกค้าได้เห็นว่าอาคารไม่มีความเสียหาย โครงสร้างมั่นคง และบริษัทเข้าไปดูแลทันที ซึ่งสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกมากขึ้นในระยะยาว
และในส่วนของการเรียกความมั่นใจผู้บริโภคกลับคืน นายไตรเตชะระบุว่า การฟื้นฟูความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐที่ต้องส่งสัญญาณนโยบายชัดเจน ธนาคารพาณิชย์ที่ควรผ่อนคลายเกณฑ์สินเชื่ออย่างสมเหตุสมผล และผู้พัฒนาโครงการเองที่ต้องจริงใจและสื่อสารข้อมูลตรงไปตรงมาให้ลูกค้าเชื่อมั่นในคุณภาพของโครงการ
สำหรับแผนครึ่งปีหลัง ศุภาลัยยังคงเป้ายอดขายที่ 32,000 ล้านบาท และรายได้ 30,000 ล้านบาท โดยมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่รวม 36 โครงการ มูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 28 โครงการ และคอนโดมิเนียม 8 โครงการ พร้อมตั้งงบประมาณซื้อที่ดินทั้งปีอยู่ที่ 8,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ได้ซื้อแล้ว 3,000 ล้านบาท
“เราจะไม่ปรับเป้า เพราะโครงการส่วนใหญ่จะเปิดในช่วงครึ่งปีหลัง ถึงแม้จะมีการแข่งขันที่สูง แต่ยังเชื่อว่าหากให้ความสำคัญกับทำเลที่ดี และให้ราคาที่คุ้มค่าตอบโจทย์ผู้บริโภค ก็จะสามารถปิดการขายได้” นายไตรเตชะกล่าว พร้อมระบุว่าลูกค้าปัจจุบันให้ความสำคัญกับความคุ้มค่ามากกว่าฟีเจอร์หรูหรา และมองภาพรวมระยะยาวมากขึ้น
ในด้านเศรษฐกิจ นายไตรเตชะมองว่า แม้ GDP หรือดัชนีต่าง ๆ อาจไม่ได้ลดลงมาก แต่ในแงของความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรายได้และความมั่นคงในการทำงานยังไม่กลับมาอย่างแท้จริง ทำให้การฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ ยังต้องอาศัยเวลา และการส่งสัญญาณเชิงบวกจากทั้งภาครัฐ การท่องเที่ยว และภาคส่งออก
“ถ้าไม่มีปัจจัยที่ส่งผลกระทบเพิ่มเติม ทั้งแผ่นดินไหว เศรษฐกิจโลก หรือการเมืองภายใน ผมเชื่อว่าตลาดอสังหาฯ ไทยน่าจะฟื้นตัวจริงได้ในปีหน้า” นายไตรเตชะกล่าวทิ้งท้าย