ไตรมาส2 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ มีความคาดหวังว่ามาตรการรัฐ ทั้งผ่อนปรนหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ มาตรการ LTV เป็นการชั่วคราวของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน2569
รวมถึง คณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวันที่8เมษายน2568 มีมติเห็นชอบมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย โดยมีผลบังคับใช้นับตั้งแต่ วันที่กฎหมายได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569
โดยเป็นมาตรการแพ็กคู่ ช่วยพยุงตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่องดังนี้1. ลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ (จากปกติ 2%) เหลือ 0.01% 2. ค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์ อันเนื่องมาจากการจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวในคราวเดียวกัน (จากปกติ 1%) เหลือ 0.01% สำหรับการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์
ดังนี้ 1. อาคารที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด หรือบ้านแถว หรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าว หรือ 2.ห้องชุดที่จดทะเบียนอาคารชุด โดยมีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาท ต่อสัญญา โดยไม่รวมถึงกรณีการขายเฉพาะส่วน
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่ากระทรวงการคลังต้องการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์โดยบรรเทาปัญหาอุปทานคงค้างที่อยู่ในระดับสูง และเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV จากข้อมูลในอดีตเมื่อ 2 มาตรการนี้ทำงานควบคู่กัน ในช่วงเวลาเดียวกัน จะส่งผลบวกต่อภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างมาก
อย่างไรก็ตามแม้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยจะเจอมรสุมรุนแรงทั้ง แผ่นดินไหว และ “ภาษีทรัมป์” มีผลต่อการขายที่เป็นไปอย่างยากลำบาก แต่ประเมินว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์ทุกค่ายต่างหันมาใช้กลยุทธ์ชูมาตรการรัฐเกณฑ์ LTV ซื้อที่อยู่อาศัยได้ทุกระดับราคาทุกสัญญา รวมถึงมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเป็นจุดขายในการจูงใจ และพ่วงด้วยแคมเปญ ระบายสินค้าในมือที่มีค่อนข้างสูงให้ลดลง
สะท้อนจากสถิติ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคาร สงเคราะห์ หน่วยเหลือขาย ที่อยู่อาศัย ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ณสิ้น ปี 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 215, 956 หน่วย เพิ่มขึ้น2.9% คิดเป็นมูลค่า 1,351,198 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 14.5%
นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า มาตรการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV เป็นการชั่วคราวสำหรับที่อยู่อาศัยทุกระดับราคาจะช่วยลดปัญหาที่อยู่อาศัยค้างสต๊อกลงได้
คาดการณ์ว่าในปี 2568 จะมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศประมาณ 353,389 หน่วย เพิ่มขึ้น 1.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน หรือมีช่วงอัตราการขยายตัวระหว่าง -3.5% ถึง 9.7% ส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งระบบในปี 2568 อยู่ที่ 593,634 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าปีก่อน 1.1% หรือมีช่วงอัตราขยายตัวระหว่าง -1.0% ถึง 5.1%
ทั้งนี้ ธอส. ยืนยันพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ให้ขยายตัวได้ตามที่คาดการณ์ไว้ โดยจะยังคงเป็นผู้นำในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ด้วยการปล่อยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยตํ่าเพื่อสนับสนุนให้คนไทยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองอย่างต่อเนื่อง
นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า คาดการณ์ว่าแม้จะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว แต่เชื่อว่า จะกระทบระยะสั้นและภาพรวมการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั้งปี2568 คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง
ขณะไตรมาสแรกของปีนี้ สมาคมฯได้สำรวจ มองว่าเติบโตกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะคอนโดมิเนียมยอมรับว่าตลาดอาจชะลอจากผลกระทบแผ่นดินไหว 1เดือนนับตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม แต่เมื่อเข้าสู่เดือนพฤษภาคม จะมีมาตรการรัฐรองรับ ซึ่งจะมีกลุ่มกำลังซื้อสูงเข้าสู่ตลอดและเชื่อว่า คอนโดมิเนียมจะยังเป็นที่ต้องการ
“ยอมรับว่าแนวราบอาจได้รับการตอบรับที่ดีแต่คอนโดมิเนียมจะมีความกังวลระยะสั้นๆ และคนที่จะโอนก็ขอชะลอโอนไปก่อนเท่านั้น”
นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยระบุว่า บ้านแนวราบและบ้านมือสองอาจมาแรงหลังแผ่นดินไหว รวมถึงคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์แต่ระยะยาวจะกลับเข้าที่เข้าทางเพราะไลฟ์สไตล์ การอยู่อาศัยของคน ประกอบกับปัจจัยบวกมาตรการรัฐที่ออกมาช่วยพยุง และมีทิศทางที่ดีขึ้น
นายประเสิรฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย ระบุว่า ต้องการให้ทุกคนมองไปข้างหน้า ไม่ต้องการจมอยู่กับอดีตและร่วมกันสร้างความเชื่อมั่นลูกค้ากลับมาโดยมั่นใจว่ามาตรการรัฐที่ออกมาทั้งการผ่อนผันLTV รวมถึงลดค่าธรรมเนียมการโอน และจดจำนอง จะช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวมได้
หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจปีที่ 45 ฉบับที่ 4,086 วันที่ 10 - 12 เมษายน พ.ศ. 2568