ลุงตู่ ABSOLUTE (NO) POWER

31 ก.ค. 2564 | 23:30 น.

ลุงตู่ ABSOLUTE (NO) POWER : รายงาน หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,701 หน้า 12 วันที่ 1 - 4 สิงหาคม 2564

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ของประเทศไทย ณ วันนี้ยังถือว่า “น่าวิตกกังวล” เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อยังอยู่ระดับ 1.5 หมื่นคนขึ้นไป ส่วนผู้เสียชีวิตยังอยู่ระดับหลัก 100 ราย ติดต่อกันมาหลายวัน

 

เป็นปัญหาหนักอกของ “ผู้นำรัฐบาล” อย่าง ลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่มี “อำนาจเต็มมือ” แต่การแก้ปัญหาโควิด-19 สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น

 

ย้อนไปเมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2564 “นายกฯ” ได้โอนอำนาจชั่วคราวตามกฎหมายของรัฐมนตรี จำนวน 31 ฉบับ มาอยู่ในมือ ด้วยเหตุผลว่า “เพื่อให้การแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ”

 

ถือเป็นการโอนอำนาจ และหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวกับการอนุญาต- อนุมัติ-สั่งการ-บังคับบัญชา-ป้องกัน- แก้ไข-ปราบปราม-ระงับยับยั้ง รวมถึง ฟื้นฟู-ช่วยเหลือประชาชน มาไว้ที่ตนเอง

 

การที่ดึง “อำนาจ” แก้ปัญหาโควิด มา “รวมศูนย์” การสั่งการอยู่ที่ “นายกฯ” คนเดียว การแก้ปัญหาก็น่าจะดีขึ้น แต่ “การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น” โควิดก็ยังแพร่ระบาดอยู่ และยิ่งหนักขึ้น

 

ขณะที่การจะสยบ “โควิด-19” ให้อยู่หมัด หนทางเดียวก็คือ ประชาชนต้องได้รับการฉีด “วัคซีนโควิด” อย่างทั่วถึง จนเกิด “ภูมิคุ้มกันหมู่”  

 

แต่การจัดหาวัคซีนโดยภาครัฐ หรือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (สาธารณสุข) กลับไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ วัคซีนไม่มีเพียงพอฉีดให้กับประชาชน 

 

ลุงตู่ ABSOLUTE (NO) POWER

 

จน “นายกฯ” ออกมติ ครม. เมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2564 เปิดทางให้ “ภาคเอกชน” สามารถร่วมจัดซื้อวัคซีนโควิดเพิ่มเติมได้ ตามแนวทางความร่วมมือการจัดหาวัคซีนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน

 

แต่ “ภาคเอกชน” ก็ถูก “ปัดแข้ง-ปัดขา” ทั้งๆ ที่โรงพยาบาลหลายโรง มีความเคลื่อนไหวต้องการจัดหา “วัคซีนทางเลือก” เข้ามา บริการฉีดให้ประชาชน 

 

มาดูอีกเรื่องที่ “นายกฯ” เคยสั่งการไปไม่ให้มีการ “วอล์คอิน” เข้ามาฉีดวัคซีนโควิด ที่ “สถานีกลางบางซื่อ” 

 

เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 64 ที่ประชุม ครม.ได้หารือเรื่องดังกล่าว และ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ปรารภกลางวงครม. ไม่อยากให้ใช้รูปแบบ “วอล์คอิน” เพราะหากประชาชนแห่กันไปพร้อมกันที่จุดเดียว จะเกิด ความชุลมุนขึ้นได้ แต่อยากให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น

 

จากวันนั้นมาถึงช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา หลังเกิดกระแสข่าวว่า ศบค. จะไม่ให้มีการวอล์คอิน เข้ามาฉีดวัคซีนที่สถานีกลางบางซื่ออีก ทำให้ประชาชนล้นหลามแห่ไปแออัดยัด เยียดกันเพื่อที่จะฉีดวัคซีน 

 

จนเกิดภาพที่เห็นแล้ว น่าตกใจว่าจะกลายเป็น “แหล่งแพร่ระบาดโควิด” เสียมากกว่า 

 

ทำให้  “นายกฯ” ต้องเรียกประชุมผู้เกี่ยวข้องเป็นการด่วน และสั่งยกเลิกการ “วอล์คอิน” ให้ปรับเปลี่ยนมาเป็นการลงทะเบียนฉีดวัคซีนผ่าน “มือถือ” ตั้งแต่ 1 ส.ค.นี้เป็นต้นไป ทุกอย่างจะต้องกลับไปสู่การลงทะเบียนเหมือนเดิม ความแออัดจะลดลง แต่ก็ยังยกเว้นคนอายุ 75 ขึ้นไปสามารถวอล์คอินเข้าฉีดวัคซีนได้

 

“ผมกล้าพูดเพราะสัปดาห์หนึ่งแวะไป 4 วัน จะแออัดแค่ช่วงเช้าแต่เมื่อได้เข้าไปแล้วก็ไม่แออัด ทั้งนี้มุมกล้อง หรือ อะไรก็สามารถทำได้หมดเพื่อให้ดูแออัด แต่เมื่อคนมาเยอะเกินความสามารถที่จะจัดระเบียบได้ ก็ต้องจัดระเบียบใหม่ และแทนที่จะฉีดได้ 3-4 หมื่นคน ก็ต้องลด เพื่อที่จะไม่ให้มีภาพของความกังวลของประชาชนทั่วไปเกิดขึ้น” 

 

นั่นคือคำชี้แจงของ นายอนุทินชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข ที่ออกมาตอบโต้ต่อภาพคนจำนวนมากที่แห่ไปฉีดวัคซีนที่สถานีกลางบางซื่อ 

 

ถึงจุดนี้ต้องบอกว่า “นายกฯลุงตู่” มี “อำนาจเด็ดขาด” หรือ ABSOLUTE  POWER ที่น่าจะแก้ปัญหาโควิดได้ โดยไร้อุปสรรคขวางกัน แต่หาเป็นเช่นนั้น

 

ไม่ต่างอะไรกับ ABSOLUTE (NO) POWER