รายงาน Grand View Research ได้ประเมิน มูลค่าตลาดเครื่องสำอางทั่วโลกจะขึ้นไปแตะระดับ 3.64 แสนล้านดอลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 12.38 ล้านล้านบาทในปี 2573 เติบโตเฉลี่ยปีละ 4.2% เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ประมาณ 1.4 เท่า ขณะเดียวกันตลาดเครื่องสำอางของไทยก็มีโอกาสที่จะเติบโตสอดคล้องกับเทรนด์โลกโดยคาดว่าในปี 2573 ตลาดเครื่องสำอางในไทยจะมีมูลค่ากว่า 3.23 แสนล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 5.0% ต่อปี เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ประมาณ 1.5 เท่า
โดยผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (Skin Care) มีมูลค่าตลาดมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนกว่า 41% รองลงมาได้แก่ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผม (Hair Care) และเครื่องสำอางสำหรับแต่งหน้า (Makeup) ในสัดส่วน 16% และ 12% ของมูลค่าตลาดเครื่องสำอางในประเทศ ทำให้ยังมีโอกาสในตลาดอีกมากสำหรับผู้ประกอบการที่จะกระโดดเข้ามาแข่งขัน
พ.ต.อ.ศตยุ ไชยสุวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าบริหาร บริษัท มายสกิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลผิว “La Cute” เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทใช้เวลาในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์มากว่า 2 ปี จนได้ผลิตภัณฑ์กันแดดใหม่ La Cute ออกมาทำตลาดเมื่อไตรมาส 2 ที่ผ่านมา พบว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เห็นได้จากยอดขายในช่วง 3 เดือนแรกที่มียอดขายรวม 42 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 15% ของรายได้รวมทั้งบริษัท
โดยกลยุทธ์การทำตลาดบริษัทจะเน้นการวิจัยและพัฒนาเป็นหลัก เพื่อสร้างความแตกต่าง (Differentiation Strategy) โดยบริษัทวิจัยและค้นหาสารสกัดที่เป็นนวัตกรรมจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ( High quality ) สามารถตอบโจทย์ในทุกสภาพปัญหาผิว ขณะที่ผลตอบรับของสาวไทยนิยมดูแลผิวหน้าเห็นได้จากยอดขายที่รายได้มาจาก La Cute Serum (เซรั่มลดฝ้า กระ จุดด่างดำ) สัดส่วน 40% และ La Cute Wrinkle (เซรั่มลดริ้วรอย) สัดส่วน 40%
ด้านนางสาวสุดาพร ไกรวาปี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท มายสกิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า ในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา บริษัทเน้นขยายตลาดในต่างประเทศเป็นหลัก โดยรายได้ 90% มาจากการจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศ เช่น จีน เกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์ เวียดนาม และในปีนี้เป็นปีแรกที่บริษัทจะเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าภายในประเทศให้มากขึ้น โดยเราตั้งเป้าหมายที่จะมียอดขายในประเทศในปีนี้ราว 144 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วน 30% ของรายได้ทั้งหมด
สำหรับในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ได้เตรียมงบประมาณทางด้านการตลาดไว้ 50 ล้านบาท เพื่อทำการตลาดทั้ง Below the Line และ Above the Line และจะเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายในส่วนของออฟไลน์มากขึ้น โดยจะวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่าน Distributor เช่น Watsons , Eve and boy และ modern trade เป็นต้น
“ในส่วนการตลาดออนไลน์นั้นเรามีความพร้อมและประสบการณ์ในการทำการตลาดออนไลน์มามากกว่า 10 ปี เนื่องจากเราเป็นบริษัทในเครือของ เดอะเนเชอร์ กรุ๊ป จำกัด อย่างไรก็ดีในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายจะมีรายได้รวม 480 ล้านบาท เติบโต 40% จากปีก่อน”