TDRI จับตา เลือกตั้ง 69 ต้องตัดวงจรประชานิยมไร้ความรับผิดชอบ

25 ธ.ค. 2568 | 07:37 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ธ.ค. 2568 | 08:19 น.

TDRI จับตา ศึกเลือกตั้ง 69 แนะพรรคการเมืองต้องเลิกใช้ประชานิยมที่ไร้ความรับผิดชอบ เตือนรัฐบาลใหม่ต้องเลิก “Quick Win” และเดินหน้า “Real Win” ให้เห็นผลจริง

การเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ที่กำลังจะมาถึง นอกจากจะเป็นการแข่งขันของอุดมการณ์การเมืองแล้ว ยังเป็น 'สนามทดสอบความจริงใจ' ของนโยบายที่แต่ละพรรคประกาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคภูมิใจไทยที่ประกาศทิศทางนโยบายเชิงผสม คือ ประชานิยมในมิติสวัสดิการ ควบคู่กับ มาตรการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ตั้งแต่ระดับกฎหมายไปจนถึงระดับระบบราชการ ซึ่งกลายเป็นภาพสะท้อนการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า แนวทางการแก้ปัญหา 'ปลายเหตุระยะสั้น' และ 'ต้นเหตุระยะยาว' กำลังถูกบังคับให้เดินคู่กัน

ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวภายในรายการ 'ฐานทอล์ค' ว่า โจทย์สำคัญคือ ประเทศไทยอยู่ในภาวะที่งบประมาณประจำสูงถึง 70–80% ของงบแผ่นดิน และในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่อง การใช้นโยบายประชานิยมเชิงสวัสดิการย่อมกระทบกับพื้นที่งบลงทุน–ปฏิรูปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่จึงกลายเป็น 'สมการยาก; ที่รัฐบาลใหม่จะต้องตอบให้ได้ว่า จะทำให้ทั้งสองด้านสอดคล้องกันอย่างไร

ประชานิยมไม่ผิด แต่ไทยใช้ผิดทางกลายเป็นวงจรพึ่งพิง

ดร.นณริฏ ให้ความเห็นว่า จุดเริ่มต้นของประชานิยมในเชิงทฤษฎีไม่ใช่เรื่องผิด เพราะประชานิยมคือการผลิตนโยบายที่ประชาชนพึงพอใจ และใช้เพื่อแก้ความเหลื่อมล้ำของโอกาส เช่น การสนับสนุนการเข้าถึงเครื่องจักร เทคโนโลยี เมล็ดพันธุ์ หรือสินเชื่อ เพื่อยกระดับศักยภาพประชาชนให้แข่งขันในตลาดได้จริง

ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)

อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทย ประชานิยมได้กลายสภาพเป็น การเยียวยาแบบต่ออายุ มากกว่าจะเป็นการลงทุนสร้างศักยภาพ โดยเฉพาะในภาคเกษตรที่หลายรัฐบาลเลือกใช้ จำนำ–ประกันราคา จนทำให้ผู้ประกอบการภาคเกษตรจำนวนมากหลงลืมไปว่าแพ้การแข่งขันในตลาดจริงแล้ว และอยู่รอดได้เพราะรัฐเข้ามาชดเชยส่วนต่าง

ปัญหานี้เชื่อมโยงกับแรงงานเช่นกัน เมื่อค่าแรงขั้นต่ำถูกใช้เป็นเครื่องมือหาเสียง แทนที่จะใช้เป็นฐานรายได้เริ่มต้น พร้อมนโยบายพัฒนาทักษะเพื่อขยับฐานรายได้ขึ้นในอนาคต นโยบายค่าแรงจึงเสี่ยงกลายเป็นตัวล็อกแรงงานไว้ที่ระดับผลิตภาพเดิม ซึ่งกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในตลาดโลก โดยเฉพาะในยุคที่ประเทศคู่แข่งกำลังเร่งลงทุนใน AI และระบบอัตโนมัติ

"ประเทศไทยกำลังติดกับดักการใช้ประชานิยมเป็นเบาะรองรับความเสี่ยงทางการเมืองมากกว่าจะเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจ"

โครงสร้างรัฐใหญ่เกินไปจะเป็นตัวถ่วง

สาเหตุสำคัญอยู่ที่โครงสร้างรัฐไทย 'ใหญ่เกินไจึงเคลื่อนที่ช้า' ระบบราชการมีขั้นตอนอนุมัติย้อนยุค กฎหมายหลายฉบับถูกตราไว้ตั้งแต่ปี 248x เมื่อเทียบกับยุคเศรษฐกิจดิจิทัลย่อมไม่สอดคล้อง การบังคับใช้กฎหมายจำนวนมากยังไม่ทันความเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้การปฏิรูปโครงสร้างกฎหมาย–ราชการจึงเป็นเงื่อนไขของทุกนโยบาย ไม่ว่าจะเป็นของพรรคใด

อีกประเด็นที่ถูกพูดถึงคือการ ขยายอายุราชการ ซึ่งมีทั้งฝ่ายสนับสนุนและกังวล ดร.นณริฏ มองว่า หากขยายอายุโดยไม่มีหลักเกณฑ์คัดเลือก ไม่คำนึงถึงภารกิจ และไม่ผูกกับการประเมินผล จะเสี่ยงต่อการทำให้รัฐ 'แก่ไปกับองค์กร' ซึ่งสวนทางกับแนวคิด Small Government ที่ประเทศพัฒนาแล้วใช้เป็นฐานในการยกระดับประสิทธิภาพ

เขาระบุว่า หากรัฐบาลใหม่ต้องการทำจริง ต้องเริ่มจาก

  • ทบทวนโครงสร้างภารกิจของแต่ละกระทรวง
  • ใช้ AI – เทคโนโลยี มาแทนขั้นตอนที่ไม่จำเป็น
  • สร้าง KPI ของการปฏิรูปให้วัดผลได้จริงในทุก 6–12 เดือน

 

ไอเดียเต็มประเทศ แต่ไม่มีเจ้าภาพผลักดัน

ประเทศไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีไอเดียเศรษฐกิจเกิดขึ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่ New S-Curve, เขตเศรษฐกิจพิเศษ, BCG, Reinvent Thailand ไปจนถึง Soft Power Economy แต่สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงคือ ระบบกำกับติดตาม (Monitoring) และผลักดันสู่ภาคปฏิบัติ

แม้ประเทศไทยจะมีไอเดียเชิงนโยบายและแนวคิดปฏิรูปจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นโมเดลเศรษฐกิจใหม่ เขตเศรษฐกิจเฉพาะทาง ไปจนถึงแผนพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย แต่ปัญหากลับไม่ได้อยู่ที่ “คิดไม่ออก” แต่อยู่ที่ ไม่มีระบบนำไอเดียไปสู่การปฏิบัติอย่างมีเจ้าภาพชัดเจน ทำให้โครงการขนาดใหญ่ส่วนหนึ่งหยุดกลางทาง หรือ เปลี่ยนทิศทุกครั้งที่เปลี่ยนรัฐบาล

ดร.นณริฏ ระบุว่า รัฐไทยยังไม่มี Process ที่เชื่อมโยงตั้งแต่ระดับนโยบาย ไปจนถึงระดับหน่วยปฏิบัติการอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะขั้นตอนกลางระหว่างการประกาศแนวคิดกับการทำจริง จึงเกิดภาวะที่หน่วยงานต่าง ๆ แยกกันทำ, แยกกันตีความ และต่างฝ่ายต่างเดินตาม KPI ของตัวเองมากกว่าความสำเร็จของประเทศในภาพรวม

หากรัฐบาลใหม่ต้องการเห็นผลจริง ต้องมีบันไดกระบวนการ (Process Ladder) ที่ประกอบด้วย

  • ศึกษาความคุ้มทุน (Feasibility) — มีฐานข้อมูลอ้างอิง ไม่ใช่สัญชาตญาณทางการเมือง
  • กำหนดเจ้าภาพ (Ownership) — ระบุชัดว่าใครต้องรับผิดชอบ ไม่โยนงานข้ามกระทรวง
  • กำหนด KPI ที่วัดได้ (Measurement) — ไม่ใช่ KPI เชิงปริมาณแบบนับจำนวนกิจกรรม
  • งบประมาณผูกกับความคืบหน้า (Budget Linkage) — งบต้องจ่ายตามผล ไม่ใช่ตามปีงบประมาณ
  • ทบทวนทุก 6–12 เดือน (Iteration) — หากไม่คุ้ม ต้องกล้าหยุดหรือเปลี่ยนทิศ

“ไอเดียจะไม่มีวันสำคัญ ถ้าไม่มีใครรับไม้ต่อ เพราะสิ่งที่ทำให้ประเทศเดินหน้าได้ไม่ใช่การคิดเก่ง แต่คือ การมีระบบผลักดันให้ไอเดียเดินเป็นเส้นตรง ไม่ใช่วงกลม"

 

Quick Win เปลี่ยนเป็น Real Win

ในช่วงท้าย ดร.นณริฏ ย้ำว่า ประเทศไทยต้องตั้งคำถามใหม่ว่านโยบายที่ดี คืออะไร หากยังคงวัดผลด้วยคะแนนนิยมระยะสั้นหรือการสร้างกระแสชั่วคราว จะทำให้ประเทศหมุนวนอยู่กับวัฏจักรเดิม ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม

แนวทางที่เขาเสนอคือการเปลี่ยนการเมืองจาก 'ทำเพื่อผ่านการเลือกตั้งครั้งหน้า' 'ทำเพื่อให้โครงสร้างประเทศผ่านทศวรรษหน้า' ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยน KPI ของรัฐบาลใหม่ให้มุ่งสู่

  • ความสามารถในการแข่งขันของแรงงาน
  • คุณภาพของกฎหมาย
  • ประสิทธิภาพของงบประมาณ
  • ความโปร่งใสของกระบวนการ
  • ไม่ใช่เพียงจำนวนสวัสดิการหรือมูลค่าเงินอุดหนุนที่จ่ายออกไป

“ประเทศไทยไม่เคยขาดไอเดีย แต่แพ้ตรงลงมือทำ และแพ้ตรงความไม่ต่อเนื่องของนโยบาย” — ดร.นณริฏ พิศลยบุตร