'เอกนิติ' กางนโยบายเศรษฐกิจภูมิใจไทย 10 พลัส ดันจีดีพี โต 3% พลิกโฉมประเทศ

24 ธ.ค. 2568 | 08:35 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ธ.ค. 2568 | 08:41 น.

'เอกนิติ' กางนโยบายเศรษฐกิจภูมิใจไทย 10 พลัส ดันจีดีพีโตเกิน 3% ใน 4 ปี ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการลงทุนเป็น 30% ของ GDP เน้นอุตสาหกรรมอนาคต เช่น EV, AI และ Wellness ลดค่าไฟกลุ่มรายได้น้อยต่ำกว่า 3 บาทต่อหน่วย

KEY

POINTS

  • พรรคภูมิใจไทยเปิดตัวนโยบาย "เศรษฐกิจ 10 Plus" โดยนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ตั้งเป้าผลักดันการเติบโตของ GDP ให้ไม่ต่ำกว่า 3% ภายใน 4 ปี
  • นโยบายแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ "5 Plus เพื่อความทั่วถึง" ที่เน้นเศรษฐกิจฐานราก เช่น ปฏิรูปบัตรสวัสดิการ ลดค่าไฟ และ "5 Plus เพื่อคุณภาพ" ที่มุ่งยกระดับการลงทุนและเทคโนโลยี
  • กลยุทธ์สำคัญคือการปฏิรูปกฎระเบียบเพื่อดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมอนาคต (EV, AI) ควบคู่กับการกระจายความมั่งคั่งสู่ภูมิภาคผ่านการท่องเที่ยวเมืองรองและสนับสนุน SME

วันนี้ (24 ธันวาคม 2568) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ในฐานะทีมเศรษฐกิจพรรคภูมิใจไทยกล่าวในงานแถลงนโยบายพรรคภูมิใจไทย วันนี้ (24 ธ.ค.) ว่า แผนการดำเนินงานในอีก 4 ปีข้างหน้า จะใช้แนวทาง “เศรษฐกิจ 10 Plus” เพื่อผลักดันการเติบโตให้ไม่ต่ำกว่า 3% หรือคือนโยบาย 3%Plus โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ 5 Plus เพื่อความทั่วถึงและ 5 Plus เพื่อคุณภาพ

โดย 5 Plus เพื่อความทั่วถึง จะมุ่งเน้นเศรษฐกิจฐานรากและคนตัวเล็ก โดยจะมุ่งปฏิรูปบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ทั่วถึง ลดค่าไฟไม่เกิน 3 บาท/หน่วย (ใช้ไฟไม่เกิน 200 หน่วย) สำหรับรายย่อย และส่งเสริมการออมผ่าน พันธบัตรออม Plusและบัญชีออมส่วนบุคคล (TISA) ที่สามารถหักลดหย่อนภาษีได้

ส่วนนโยบาย สูงวัย Plus จะเปลี่ยนผู้สูงอายุเป็นพลังที่มีทักษะ มีงาน มีเงิน และมีคนดูแลผ่านการใช้บัญชีเกษียณส่วนบุคคล ส่วนนโยยบายชุมชน Plusจะกระจายความมั่งคั่งสู่ภูมิภาคผ่านการท่องเที่ยวเมืองรอง ซึ่งสามารถนำค่าใช้จ่ายมาหักภาษีได้ 2 เท่า

เช่นเดียวกับการศึกษาเท่าเทียม Plus นโยบายเรียนฟรีมีงานทำ และสร้างแพลตฟอร์ม Skill Bridgeเชื่อมโยงทักษะแรงงานให้ตรงกับความต้องการของเอกชน นอกจากนี้ยังมีนโยบาย Made in Thailand SME Plus ที่จะเติมทุนดอกเบี้ยต่ำผ่านกลไกค้ำประกันสินเชื่อใหม่ และให้แต้มต่อ SME ในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วย

อย่างไรก็ตามยังมีนโยบาย 5 Plus เพื่อคุณภาพ เป็นการยกเครื่องการลงทุนและเทคโนโลยี โดยการลงทุน Plus จะตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการลงทุนเป็น 30% ของ GDP ภายใน 4 ปี เน้นอุตสาหกรรมอนาคต เช่น EV, AI และ Wellness พร้อมใช้กองทุน Thailand Future Fundที่มีอยู่มาระดมทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโดยไม่เพิ่มหนี้สาธารณะ

นอกจากนั้นยังมีนโยบายเศรษฐกิจสีเขียว Plus ที่มุ่งสู่ Net Zero ด้วยพลังงานสะอาด เช่น Solar Rooftop/Farm และการสร้าง “ตลาดคาร์บอนเครดิต” เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลก ส่วนนโยบาย AI Plus จะนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มรายได้ประชาชน โดยพบว่าโครงการที่ใช้ AI ช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าสามารถเพิ่มรายได้ให้พวกเขาได้ถึง 5-6 เท่า

ทั้งนี้ยังมีนโยบายการค้า หรือ Trade Plus จะใช้เศรษฐกิจนำการทูต ค้าขายอย่างฉลาด และนโยบายไทยแลนด์ Plus เราจะเน้นการปฏิรูปกฎระเบียบภาครัฐให้ สามารถเร่งรัด ฉับ ไว เพื่อดึงดูดการลงทุน เช่น โครงการ Thailand Fast Track ที่พร้อมผลักดันการลงทุนกว่า 4.7 แสนล้านบาทได้ทันทีจากโครงการที่มีความพร้อมที่จะลงทุนแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการทำงานควบคู่กับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ที่ได้มีการทำนโยบาย Thailand Fast Pass ไว้รองรับแล้ว

“เศรษฐกิจไทยเหมือนรถยนต์ที่เก่าและติดไฟแดงบ่อยจากกฎระเบียบที่ล้าสมัย เราต้องยกเครื่องใหม่ เร่งการลงทุนในอุตสาหกรรมที่สำคัญ และเพิ่มทักษะใหม่ๆให้แรงงาน เปลี่ยนทักษะคนขับ และนำ AI มาใช้ เพื่อให้ประเทศไทยเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพและยั่งยืนซึ่งเป็นเรื่องที่เราจะทำได้จริงในระยะเวลา 4 ปีข้างหน้า”

นายเอกนิติ กล่าวด้วยว่า จากการดำเนินงานของทีมเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาได้ทำภารกิจหลักคือการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยตามที่ได้รับการมอบหมายจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย โดยเศรษฐกิจไทยเปรียบเสมือนรถยนต์ที่ติดหล่มอย่างหนัก ซึ่งในช่วงรอยต่อไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ตัวเลขเศรษฐกิจไทยดิ่งลงจาก 3.2% เหลือเพียง 1.2% และหากไม่มีมาตรการรองรับอาจลดต่ำลงเหลือเพียง 0.3% เท่านั้น

ทั้งนี้จากการดำเนินนโยบายในช่วง 73 วันแรก หรือไม่ถึง 3 เดือนดี ได้มีการทำนโยบายผ่านยุทธศาสตร์ “Quick Big Win” เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส โครงการเที่ยวดีมีคืน การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ (Front-load) และมาตรการปิดหนี้ไว ไปต่อได้ เพื่อชุบชีวิต SME ทำให้เศรษฐกิจไทยพ้นจากหล่มและมีสัญญาณคึกคักขึ้นชัดเจน

โดยคาดการณ์ว่าในไตรมาสที่ 4 จะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 1% นอกจากนี้ยังสร้างความเชื่อมั่นต่อสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก โดยสามารถทำให้ Moody’s ซึ่งเป็นสถานบันจัดเครดิตเรตติ้งระดับโลกคงอันดับความน่าเชื่อถือและมุมมองเสถียรภาพของไทยไว้ในระดับปกติได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นผลงานที่สำคัญของรัฐบาล