KEY
POINTS
ในช่วงกว่าสิบปีที่ผ่านมา รัฐบาลหลายชุดพยายามแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยมาตรการระยะสั้นที่มุ่งประคองการเติบโตและบรรเทาภาระค่าครองชีพ แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับสะท้อนว่า เศรษฐกิจยังไม่หลุดจากวงจรเดิม รายได้ไม่โต ผลิตภาพไม่เพิ่ม และหนี้สะสมสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในโครงการ Thailand Redesign : อนาคตออกแบบได้ “ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์เชิงลึก บุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการและ Chief Economist ของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ที่มองปัญหาไทยในเชิงโครงสร้างมากกว่ารายปี มุมมองของเขาชี้ชัดว่า ประเท
แก่นปัญหาที่บุรินทร์วางไว้คือ “กับดักรายได้” เมื่อรายได้ของแรงงานและครัวเรือนไม่สามารถเติบโตได้สอดคล้องกับค่าครองชีพ การกู้ยืมจึงกลายเป็นเครื่องมือประคองการใช้จ่ายโดยปริยาย หนี้ครัวเรือนจึงไม่ได้เป็นเพียงผลลัพธ์ของพฤติกรรมทางการเงิน แต่เป็นอาการสะสมของโครงสร้างเศรษฐกิจที่ผลิตรายได้เพิ่มไม่ได้ในวงกว้าง เศรษฐกิจอาจยังขยับไปข้างหน้าได้ในเชิงตัวเลข แต่เป็นการเดินต่อด้วยฐานที่เปราะบางมากขึ้นทุกปี
การเปรียบเทียบกับต่างประเทศช่วยทำให้ปัญหานี้ชัดเจนขึ้น ค่าแรงแรงงานบริการในสหรัฐฯ ที่อยู่ราว 20 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง หรือมากกว่า 600 บาท ไม่ได้เกิดจากความสามารถเฉพาะบุคคลเพียงอย่างเดียว หากเกิดจากระบบเศรษฐกิจที่มีผลิตภาพสูง ทำให้ธุรกิจสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากพอที่จะจ่ายค่าจ้างในระดับนั้นได้ ในทางกลับกัน แรงงานไทยจำนวนมากยังทำงานอยู่ในภาคที่ผลิตภาพต่ำ แม้จะทำงานหนักไม่แพ้กัน แต่ระบบไม่เอื้อให้รายได้ขยับขึ้นตามความพยายาม ผลลัพธ์คือรายได้โตช้า ขณะที่ภาระหนี้โตเร็ว
บุรินทร์วางแก่นปัญหาเศรษฐกิจไทยไว้ที่ “กับดักรายได้” ซึ่งทำให้หนี้ครัวเรือนสูงขึ้นได้ง่าย เพราะเมื่อรายได้ไม่เติบโต ครัวเรือนจำนวนมากต้องพึ่งพาเครดิตเพื่อประคองการใช้จ่าย ขณะที่แรงกดดันจากค่าครองชีพยังดำรงอยู่ ผลลัพธ์คือเศรษฐกิจเหมือนเดินต่อได้ แต่เดินด้วยฐานที่เปราะบางขึ้นเรื่อย ๆ
เพื่อให้เห็นภาพ เขายกตัวอย่างแรงงานบริการของสหรัฐฯ ว่าค่าแรงชั่วโมงละ 20 ดอลลาร์สหรัฐฯ แปลงเป็นเงินไทยราว 600 กว่าบาทต่อชั่วโมง ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับรายได้ต่อวันของแรงงานไทย แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ “คนเก่งกว่า” แต่อยู่ที่ “ระบบเศรษฐกิจที่มีผลิตภาพ (productivity) และประสิทธิภาพสูงกว่า” ทำให้ค่าจ้างสามารถสูงขึ้นได้จริงในระดับประเทศ นี่คือจุดที่สะท้อนว่า ไทยไม่ได้ขาดคนทำงานหรือความสามารถรายบุคคลเท่านั้น แต่ขาดเงื่อนไขเชิงโครงสร้างที่จะทำให้ผลิตภาพสูงขึ้นเป็นวงกว้าง และเมื่อผลิตภาพไม่ขึ้น รายได้ก็ขึ้นยาก วงจรหนี้จึงยืดเยื้อ
ดังนั้นโจทย์รัฐบาลใหม่ไม่ใช่เพียงเลือก “นโยบายกระตุ้น” ให้ถูกจังหวะ แต่คือการตัดสินใจ “ปลดล็อกโครงสร้าง” ให้เศรษฐกิจใหม่ ๆ โตได้จริง เกิดงานใหม่ รายได้ใหม่ และการแข่งขันแย่งคนเก่งจนเงินเดือนขยับได้ด้วยแรงของตลาด ไม่ใช่ขยับด้วยมาตรการชั่วคราว
เมื่อถูกถามถึง “โมเดลเศรษฐกิจใหม่” ในอีก 5–10 ปี บุรินทร์เลือกชี้ไปที่ 2 โครงสร้างใหญ่ที่กินประชากรจำนวนมากและเป็นฐานรายได้ต่ำ—ภาคเกษตรและภาคราชการ พร้อมเสนอว่า ถ้าไทยแก้โครงสร้างภาคเกษตรได้ และแก้โครงสร้างข้าราชการได้ ประเทศมีโอกาส “ยกระดับขึ้นอีกระดับหนึ่ง” เพราะนี่คือพื้นที่ที่ทำให้รายได้ไม่โตและผลิตภาพไม่ขึ้นในภาพรวม
ในส่วนของภาคเกษตร เขามองว่าโจทย์สำคัญไม่ใช่เพียงการช่วยเหลือปลายทาง แต่คือการทำให้คนออกจากภาคที่ผลิตภาพต่ำไปสู่ภาคที่ผลิตภาพสูงกว่าอย่างเป็นระบบ แนวคิดนี้ถูกอธิบายผ่านตัวอย่างที่จับต้องได้อย่าง “Health Care–Wellness” เพราะไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย ความต้องการงานดูแลสุขภาพจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หากรัฐ–เอกชนร่วมกันวางระบบฝึกทักษะให้คนที่เคยอยู่ภาคเกษตรสามารถย้ายมาอยู่ภาคบริการสุขภาพได้ ก็เป็นการ “ชิฟต์คน” ไปสู่รายได้ที่มั่นคงกว่า และเป็นการยกระดับโครงสร้างแรงงานแบบค่อยเป็นค่อยไป
เขาย้ำว่า รัฐไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างเอง แต่ต้องทำหน้าที่ “ออกแบบระบบ” ให้เงินทุนและความร่วมมือจากหลายภาคส่วนเข้ามาช่วยได้ ทั้งเอกชน มูลนิธิ หรือแม้แต่เงินทุนต่างประเทศที่สนใจโมเดลยกระดับคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจฐานราก
ขณะเดียวกัน ในด้านภาครัฐ บุรินทร์หยิบหลักคิดสำคัญว่า “รัฐบาลที่ดี” คือรัฐบาลที่วางโครงสร้างพื้นฐานและกติกาให้เอื้อต่อการทำธุรกิจ แล้วปล่อยให้เอกชนทำหน้าที่สร้างนวัตกรรมและแข่งขันต่อเอง รัฐควรเล็กแต่มีประสิทธิภาพ (small but efficient) เป็น regulator ที่ทำให้การแข่งขันยุติธรรม ไม่ปล่อยให้กติกาเอื้อรายใหญ่จนรายเล็กและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ขึ้นไม่ได้ เพราะเมื่อธุรกิจใหม่ขึ้นไม่ได้ เศรษฐกิจใหม่ก็ไม่เกิด รายได้ใหม่ก็ไม่มา ประเทศจึงติดอยู่กับ “เศรษฐกิจเก่า” ต่อเนื่อง
ในช่วงที่ไทยพูดถึงการดึงอุตสาหกรรมยุคใหม่อย่าง Data Center, AI, Cloud บุรินทร์สะท้อนว่า “เจตจำนงลงทุนมีอยู่จริง” แต่ด่านสำคัญคือระบบราชการ ตั้งแต่การขอไฟ ขอน้ำ ไปจนถึงใบอนุญาตหลายชั้นที่กินเวลาและไม่แน่นอน ซึ่งไม่ใช่แค่ทำให้ลงทุนช้า แต่ทำให้ต้นทุนสูง และลดความเชื่อมั่นในความโปร่งใสของระบบ
ทางออกไม่ใช่เพียงเพิ่มสิทธิประโยชน์ลงทุน แต่คือการใช้ AI และ Digital Government มา “ทำให้กระบวนการชัดเจน” รู้ว่าอะไรทำได้หรือทำไม่ได้ เพราะอะไร ใช้เวลาเท่าไร ติดต่อใคร ลดการทับซ้อนของอำนาจหน้าที่ และลดพื้นที่เทาที่นำไปสู่ความไม่โปร่งใส เขามองว่า ถ้ารัฐทำให้ process เร็วขึ้น ชัดเจนขึ้น และตรวจสอบได้ นักลงทุนจะ “อยากมาลงทุน” มากขึ้น เพราะเห็นระบบที่คาดการณ์ได้ ไม่ใช่ระบบที่ติดหล่มระหว่างทาง
ประเด็นนี้โยงต่อไปถึงบทบาทไทยบนเวทีโลก ท่ามกลางภูมิรัฐศาสตร์ที่ตึงเครียด บุรินทร์มองว่าไทยต้องรักษาดุล ไม่เลือกข้างแบบสุดโต่ง แต่สิ่งสำคัญกว่าคือทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมา “สำคัญ” ต่อห่วงโซ่อุปทานโลก เพราะหากไทยยังเป็นเศรษฐกิจเก่าที่เชื่อมกับเศรษฐกิจใหม่ไม่มากพอ โลกก็จะ “มองข้าม” และความสนใจจะลดลงตามความแข็งแรงของเศรษฐกิจ
เมื่อพูดถึงสงครามภาษีและการเจรจากับสหรัฐฯ เขาย้ำว่าปัจจัยภายนอกบังคับไม่ได้ทั้งหมด สิ่งที่ทำได้คือแต่งตัวให้พร้อม—สร้างความสามารถแข่งขันในบ้าน ลดต้นทุนทำธุรกิจ เพิ่มโปร่งใส และที่สำคัญคืออย่าหลงกับตัวเลขเฮดไลน์เพียงอย่างเดียว เช่น ภาคการส่งออก แม้จะเติบโตดี แต่การผลิตในประเทศกลับติดลบต่อเนื่องหลายปี สะท้อนว่า “มูลค่าเพิ่ม” อาจไม่ได้กลับเข้าประเทศเท่าที่ควร ดังนั้นรัฐบาลควรโฟกัสว่ากิจกรรมเศรษฐกิจสร้างงานและรายได้ในประเทศเพิ่มขึ้นแค่ไหน มากกว่าการเฉลิมฉลองตัวเลขรวม
ทั้งหมดนี้นำไปสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายที่เขาตอบชัดในตอนท้ายว่า หากรัฐบาลใหม่ “เลือกทำได้เรื่องเดียว” ให้ทำ Regulatory Guillotine หรือ “กิโยตินกฎระเบียบ” ตัดความซ้ำซ้อน ลดความสับสน ลดต้นทุนการทำธุรกิจ ทำให้ภาครัฐเอื้อต่อเอกชนด้วยความโปร่งใส เพราะคอขวดจำนวนมากของเศรษฐกิจไทยติดอยู่ที่กฎหมาย กฎเกณฑ์ และกระบวนการอนุญาต—ถ้าปลดล็อกตรงนี้ได้ เศรษฐกิจจะเริ่มไดนามิก ธุรกิจใหม่มีโอกาสเกิด การแย่งคนเก่งจะจริงจังขึ้น และเงินเดือนจะมีแรงส่งเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติของเศรษฐกิจ
ในมุมของบุรินทร์ Quick Win ที่แท้จริงไม่ใช่การแจกเงินเป็นคำตอบหลัก แต่คือการปฏิรูประบบราชการให้โปร่งใสและทำงานมีประสิทธิภาพ เพราะนี่คือคันโยกที่ทำให้ทั้งการลงทุน การทำธุรกิจ และการสร้างงานคุณภาพเกิดขึ้นได้เร็วขึ้น ขณะเดียวกัน เขาชี้ว่าสิ่งที่รัฐควร “หยุดทำ” คือ นโยบายที่ทำให้เกิดการผูกขาด เพราะการผูกขาดทำให้การแข่งขันไม่เกิด ธุรกิจใหม่ ๆ ขึ้นไม่ได้ เศรษฐกิจใหม่ไม่โต ประเทศจึงวนอยู่กับเครื่องยนต์เก่าที่เริ่มล้า
ส่วนประชานิยม เขามองว่าอาจใช้ได้ในบางช่วงเพื่อประคองเศรษฐกิจ แต่ถ้าใช้ต่อเนื่องโดยหวังผลนิยมระยะสั้น จะทำให้ประเทศชนเพดานหนี้สาธารณะ และทำให้พื้นที่นโยบายในอนาคตหายไป สุดท้ายประเทศก็ “ติดหล่ม” อยู่กับวงจรเดิม
บทเรียนเชิงโครงสร้างจากมุมมองนี้จึงเป็นคำเตือนต่อรัฐบาลใหม่ว่า การออกแบบประเทศต้องมองไกลกว่าการเลือกตั้ง หากยังเลือกทางลัด ประเทศอาจเดินต่อได้อีกระยะ แต่จะเป็นการเดินต่อบนฐานที่อ่อนแรงลงเรื่อย ๆ จนโอกาสในการยกระดับหลุดลอยไปในที่สุด