"ไชยา พรหมา" ซบ "พรรคกล้าธรรม" ชูนโยบายน้ำถึงแปลงนาแก้จนคนอีสาน

23 ธ.ค. 2568 | 11:05 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ธ.ค. 2568 | 11:08 น.

"ไชยา พรหมา" อดีต รมช.เกษตรฯ เปิดใจร่วมงานพรรคกล้าธรรม หลังพบพรรคเก่าทิ้งสัญญาคนอีสาน ชูยุทธศาสตร์แก้หนี้เกษตรกรด้วยระบบ "น้ำถึงแปลงนา" ปรับโครงสร้างพื้นฐาน-ใช้ Smart Irrigation ลดต้นทุน 30% ย้ำย้ายพรรคไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อผลักดันเกษตรยั่งยืน

KEY

POINTS

  • นายไชยา พรหมา อดีต รมช.เกษตรฯ และ สส.หนองบัวลำภู 9 สมัย ตัดสินใจเข้าร่วมงานกับพรรคกล้าธรรม
  • ชูนโยบายหลัก "น้ำถึงแปลงนา" เพื่อแก้ปัญหาความยากจนให้เกษตรกรในภาคอีสานอย่างเป็นรูปธรรม
  • ชี้ปัญหาสำคัญคือพื้นที่เกษตรจำนวนมากยังต้องพึ่งพาน้ำฝนและระบบชลประทานที่ชำรุด ทำให้เกษตรกรมีน้ำใช้เพียง 3-4 เดือนต่อปี
  • เสนอแนวทางแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยสำรวจและซ่อมแซมระบบส่งน้ำให้ตรงจุด เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร

นายไชยา พรหมา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และอดีต สส. จ.หนองบัวลำภู เขต 2 ยืนยันการตัดสินใจร่วมงานกับพรรคกล้าธรรม เพราะมีแนวทางชัดเจนในนโยบายด้านการเกษตรซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของภาคอีสาน  โดยที่ตนเองคลุกคลีกับประชาชนในพื้นที่ตลอดการดำรงตำแหน่ง สส. ถึง  9 สมัย

ซึ่งหลายคำสัญญาที่พรรคการเมืองเคยให้ไว้กับคนอีสาน เมื่อได้อำนาจรัฐมักลืมคำสัญญา ภาคอีสานเป็นภาคที่ถูกเอารัดเอาเปรียบมาเป็นเวลานาน ยังไม่มีนโยบายเพื่อภาคการเกษตรที่ถูกผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมจริง โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาคการเกษตรที่เป็นรูปธรรม

ดังนั้น การย้ายพรรคครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตัว แต่เพื่อแก้ปัญหาเกษตรกรและประชาชนอย่างแท้จริง นายไชยากล่าว

"ไชยา พรหมา" ซบ "พรรคกล้าธรรม" ชูนโยบายน้ำถึงแปลงนาแก้จนคนอีสาน

นายไชยา ยังชี้อีกว่า ปัจจุบันพบว่า พื้นที่เกษตรจำนวนมากยังพึ่งพาน้ำฝนเป็นหลัก ขณะที่ระบบส่งน้ำจำนวนไม่น้อยเผชิญปัญหา คลองตื้นเขิน สถานีสูบน้ำ ท่อและประตูน้ำชำรุดเสียหายทำให้สูญเสียน้ำระหว่างทาง โดยข้อมูลภาคสนามสะท้อนว่า เกษตรกรจำนวนมากมีน้ำใช้เพียง 3–4 เดือนต่อปี ส่งผลให้รายได้กระจุกตัวอยู่ในฤดูเดียว และต้องเผชิญความเสี่ยงซ้ำซากทุกหน้าแล้ง

 

“ถ้าน้ำยังไปไม่ถึงแปลงนา การพูดเรื่องเพิ่มผลผลิตหรือรายได้ ก็เป็นเพียงคำสวยหรูเท่านั่น” นายไชยากล่าว 

นายไชยา ยังชี้แนวทางแก้ปัญหาว่าต้องแก้ที่ต้นเหตุ โดยน้ำต้องถึงแปลงนาก่อนแนวทางที่ถูกผลักดัน ดังนั้นจึงเริ่มจากการทำบัญชีจุดเสี่ยงน้ำเพื่อการเกษตร รายตำบลและรายกลุ่มผู้ใช้น้ำ ไล่ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อระบุจุดคอขวดที่แท้จริง เมื่อรู้จุดปัญหา การซ่อมแซมจึงตรงเป้า ทำให้ใช้งบไม่มาก แต่สามารถปลดล็อกพื้นที่เพาะปลูกหลายพันไร่ ให้กลับมามีน้ำใช้ได้จริง

นี่คือการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่การแก้เฉพาะหน้า เป็นการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า ลดต้นทุน เพิ่มรายได้หลังจาก “น้ำถึงแปลงนา” การใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพผ่าน Smart Irrigation และ นาเปียกสลับแห้ง (AWD) ถูกนำมาใช้ในพื้นที่เหมาะสม

“ผลที่เกิดขึ้นคือการใช้น้ำลดลงราว 20–30% ต้นทุนค่าน้ำมันและค่าไฟลดลง ผลผลิตไม่ลด และคุณภาพดีขึ้น”นายไชยากล่าว