KEY
POINTS
นายไชยา พรหมา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และอดีต สส. จ.หนองบัวลำภู เขต 2 ยืนยันการตัดสินใจร่วมงานกับพรรคกล้าธรรม เพราะมีแนวทางชัดเจนในนโยบายด้านการเกษตรซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของภาคอีสาน โดยที่ตนเองคลุกคลีกับประชาชนในพื้นที่ตลอดการดำรงตำแหน่ง สส. ถึง 9 สมัย
ซึ่งหลายคำสัญญาที่พรรคการเมืองเคยให้ไว้กับคนอีสาน เมื่อได้อำนาจรัฐมักลืมคำสัญญา ภาคอีสานเป็นภาคที่ถูกเอารัดเอาเปรียบมาเป็นเวลานาน ยังไม่มีนโยบายเพื่อภาคการเกษตรที่ถูกผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมจริง โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาคการเกษตรที่เป็นรูปธรรม
ดังนั้น การย้ายพรรคครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตัว แต่เพื่อแก้ปัญหาเกษตรกรและประชาชนอย่างแท้จริง นายไชยากล่าว
นายไชยา ยังชี้อีกว่า ปัจจุบันพบว่า พื้นที่เกษตรจำนวนมากยังพึ่งพาน้ำฝนเป็นหลัก ขณะที่ระบบส่งน้ำจำนวนไม่น้อยเผชิญปัญหา คลองตื้นเขิน สถานีสูบน้ำ ท่อและประตูน้ำชำรุดเสียหายทำให้สูญเสียน้ำระหว่างทาง โดยข้อมูลภาคสนามสะท้อนว่า เกษตรกรจำนวนมากมีน้ำใช้เพียง 3–4 เดือนต่อปี ส่งผลให้รายได้กระจุกตัวอยู่ในฤดูเดียว และต้องเผชิญความเสี่ยงซ้ำซากทุกหน้าแล้ง
“ถ้าน้ำยังไปไม่ถึงแปลงนา การพูดเรื่องเพิ่มผลผลิตหรือรายได้ ก็เป็นเพียงคำสวยหรูเท่านั่น” นายไชยากล่าว
นายไชยา ยังชี้แนวทางแก้ปัญหาว่าต้องแก้ที่ต้นเหตุ โดยน้ำต้องถึงแปลงนาก่อนแนวทางที่ถูกผลักดัน ดังนั้นจึงเริ่มจากการทำบัญชีจุดเสี่ยงน้ำเพื่อการเกษตร รายตำบลและรายกลุ่มผู้ใช้น้ำ ไล่ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อระบุจุดคอขวดที่แท้จริง เมื่อรู้จุดปัญหา การซ่อมแซมจึงตรงเป้า ทำให้ใช้งบไม่มาก แต่สามารถปลดล็อกพื้นที่เพาะปลูกหลายพันไร่ ให้กลับมามีน้ำใช้ได้จริง
นี่คือการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่การแก้เฉพาะหน้า เป็นการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า ลดต้นทุน เพิ่มรายได้หลังจาก “น้ำถึงแปลงนา” การใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพผ่าน Smart Irrigation และ นาเปียกสลับแห้ง (AWD) ถูกนำมาใช้ในพื้นที่เหมาะสม
“ผลที่เกิดขึ้นคือการใช้น้ำลดลงราว 20–30% ต้นทุนค่าน้ำมันและค่าไฟลดลง ผลผลิตไม่ลด และคุณภาพดีขึ้น”นายไชยากล่าว