ศาลรัฐธรรมนูญตีตก 2 คำร้อง “วัฒนา-บิ๊กโจ๊ก” หมดสิทธิ์ยื่น ม.213

18 ธ.ค. 2568 | 10:30 น.
อัปเดตล่าสุด :18 ธ.ค. 2568 | 10:39 น.

ศาลรัฐธรรมนูญปัดตก 2 คำร้อง “วัฒนา เมืองสุข -บิ๊กโจ๊ก” หมดสิทธิ์ยื่น ม.213 ชี้คดีถึงที่สุด-มีกลไกกฎหมายรองรับแล้ว

KEY

POINTS

  • ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้องของนายวัฒนา เมืองสุข และ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล (บิ๊กโจ๊ก) ที่ยื่นขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213
  • กรณีของนายวัฒนาในคดีทุจริตบ้านเอื้ออาทร ศาลชี้ว่าคดีมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จึงเข้าข่ายต้องห้ามตามกฎหมาย ไม่สามารถยื่นคำร้องได้
  • ส่วนคำร้องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่โต้แย้งกระบวนการเลือกประธาน ป.ป.ช. ศาลเห็นว่าผู้ร้องสามารถใช้สิทธิทางศาลอื่นได้ เนื่องจากมีกฎหมายกำหนดกระบวนการไว้เป็นการเฉพาะแล้ว

วันที่ 18 ธันวาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยในคดีสำคัญทางการเมือง 2 คดี ซึ่งเป็นที่จับตาของสังคม ได้แก่ คำร้องของ นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และคำร้องของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล หรือ “บิ๊กโจ๊ก”

คดีที่ 1 ศาลตีคำร้อง“วัฒนา"ปมบ้านเอื้ออาทร 

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ ไม่รับคำร้อง ของ นายวัฒนา เมืองสุข ซึ่งเป็นนักโทษคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร ที่ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213

ผู้ร้องอ้างว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และ ศาลฎีกา ได้นำพยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบเข้าสู่การพิจารณาคดี อันขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 และ การพิพากษาลงโทษไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 รวมถึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหลายมาตรา

อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบ เป็นกรณีที่ศาลอื่นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้ว จึงเข้าข่ายต้องห้ามตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 47 (4)

เมื่อประกอบกับมาตรา 46 วรรคสาม ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีคำสั่ง ไม่รับคำร้องไว้พิจารณา และผู้ร้องไม่มีสิทธิยื่นคำร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 

ในคดีนี้ ก่อนการพิจารณา นายจิรนิติ หะวานนท์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ขอถอนตัวจากการพิจารณา เนื่องจากเคยทำหน้าที่กรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) แต่ที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติ ไม่อนุญาตให้ถอนตัว เนื่องจากเห็นว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเด็นที่นำมาพิจารณา

คดีที่ 2 : ศาลยกคำร้อง “บิ๊กโจ๊ก” ปมเลือกประธาน ป.ป.ช.

วันเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญยังมีมติเอกฉันท์ ไม่รับคำร้อง ในคดีที่ ต.109/2568 ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล เป็นผู้ร้อง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213
ผู้ร้องอ้างว่า กระบวนการและมติเลือกประธานกรรมการ ป.ป.ช. ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. รวม 8 ราย ไม่เป็นไปตามหลักทั่วไปของการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ และส่งผลกระทบต่อสิทธิ เสรีภาพ ความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน

รวมถึงอ้างว่า การที่ประธาน ป.ป.ช. และคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาวินิจฉัยเรื่องที่ผู้ร้องถูกกล่าวหา เป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหลายมาตรา

อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของผู้ถูกร้อง เป็นการใช้อำนาจตามที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561

หากผู้ร้องเห็นว่า เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพ ผู้ร้องสามารถใช้สิทธิทางศาลอื่นได้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 25 วรรคสาม ซึ่งเป็นกรณีที่กฎหมายได้กำหนดกระบวนการร้องเรียนไว้เป็นการเฉพาะแล้ว

จึงเข้าข่ายตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 47 (2) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ ไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย