ศาล รธน.ไม่รับคำร้อง “ภาษีก้าวหน้า” ชี้คดีถึงที่สุดศาลปกครองแล้ว

08 ธ.ค. 2568 | 07:51 น.
อัปเดตล่าสุด :08 ธ.ค. 2568 | 08:03 น.

ศาล รธน. มติเป็นเอกฉันท์ไม่รับคำร้อง “รัชชร” ฟ้องปลัดคลังใช้นโยบายภาษีลดหย่อนเอื้อคนรวย กระทบผู้มีรายได้น้อย ชี้เป็นคดีเดียวกับที่ศาลปกครองสั่งยกคำฟ้องถึงที่สุดแล้ว

KEY

POINTS

  • ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ ไม่รับคำร้องที่ขอให้วินิจฉัยว่านโยบายลดหย่อนภาษีแบบอัตราก้าวหน้าขัดต่อรัฐธรรมนูญ
  • ผู้ร้องอ้างว่า นโยบายดังกล่าวทำให้ผู้มีรายได้สูง ได้ประโยชน์ทางภาษีมากกว่าผู้มีรายได้น้อย ซึ่งขัดต่อหลักความเสมอภาค
  • เหตุผลที่ศาลไม่รับคำร้อง เนื่องจากเป็นประเด็นเดียวกับคดีที่ผู้ร้องเคยยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง และคดีได้มีคำสั่งถึงที่สุดแล้ว

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ ไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย กรณี นางสาวรัชชร วิไลสกุลยศ ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยว่า การกำหนดนโยบายลดหย่อนภาษีของกระทรวงการคลัง โดยมี นายลวรรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นผู้ถูกร้อง ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ

เนื่องจากเห็นว่า โครงการลดหย่อนภาษีที่ใช้อัตราภาษีก้าวหน้า และการนำกฎกระทรวงตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42 (17) มาบังคับใช้ ทำให้ ผู้มีรายได้สูงได้ประโยชน์ทางภาษีมากกว่าผู้มีรายได้น้อย ส่งผลให้ผู้เสียภาษีฐานล่างอย่างผู้ร้องได้รับความเสียหาย ถือเป็นการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 26 มาตรา 27 และมาตรา 62 

ผู้ร้องอ้างว่า การดำเนินนโยบายภาษีในลักษณะดังกล่าว ขัดต่อหลักความเป็นธรรมทางภาษี และ หลักความเสมอภาคของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ เพราะมาตรการลดหย่อนหลายโครงการ ส่งผลเชิงโครงสร้างให้ผู้มีรายได้สูง สามารถใช้สิทธิลดภาระภาษีได้มากกว่า ขณะที่ผู้มีรายได้น้อยซึ่งอยู่ในฐานภาษีต่ำ หรือ แทบไม่ต้องเสียภาษีกลับไม่สามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์เหล่านั้นอย่างแท้จริง 

อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงและประเด็นตามคำร้อง เป็นกรณีเดียวกับที่ผู้ร้องเคยนำไปฟ้องต่อศาลปกครองมาก่อน และศาลปกครองกลางมีคำสั่ง ไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา ต่อมา ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามศาลชั้นต้น ทำให้คดีดังกล่าว ถึงที่สุดแล้ว 

ศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 47 (4) กำหนดว่า ศาลต้องไม่รับคำร้องกรณีที่เป็นเรื่องเดียวกัน หรือ มีประเด็นเดียวกับคดีที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้ว และเมื่อพิจารณาประกอบกับ มาตรา 46 วรรคสาม ซึ่งบัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจ สั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา ในกรณีต้องห้ามดังกล่าว จึงเห็นว่า

ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ด้วยเหตุนี้ ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเอกฉันท์ ไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย เป็นอันยุติคดี