อานิสงส์ “คนละครึ่งพลัส” ดัน “ค้าปลีก” ฟื้นยอดขาย “เหนือ-อีสาน” พุ่ง “กรุงเทพฯ-ภาคกลาง” ซบ

12 ธ.ค. 2568 | 22:52 น.

อานิสงส์ “คนละครึ่งพลัส” ดีด “ดัชนีค้าปลีก” ขึ้นแรงในรอบ 10 เดือน แตะ 58.3 จุด เพิ่มขึ้นทั้ง SSSG - Spending per Bill - ความถี่ในการใช้ ขณะที่กรุงเทพฯและปริมณฑล-ภาคกลาง ร้านค้ายอดขายลดลง ส่วนร้านค้าในภาคเหนือ-อีสานเฮ ยอดขายเพิ่ม

KEY

POINTS

  • โครงการ “คนละครึ่งพลัส” เป็นปัจจัยหลักที่ช่วยกระตุ้นยอดขายค้าปลีกโดยรวมให้ฟื้นตัว ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 10 เดือน
  • ยอดขายในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะร้านค้าอุปโภคบริโภคที่ได้รับประโยชน์จากกำลังซื้อผ่านโครงการของรัฐ
  • ในทางกลับกัน ยอดขายในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคกลางกลับซบเซาลง เนื่องจากร้านค้าขนาดใหญ่และผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก (Retail Sentiment Index : RSI) เดือนพฤศจิกายน 2568 เพิ่มขึ้น 9.8 จุดมาอยู่ที่ 58.3 จากเดิมตุลาคม 2568 ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน ที่ยืนอยู่เหนือระดับ 50 จุด เพิ่มขึ้นในทุกองค์ประกอบ นับตั้งแต่ยอดใช้จ่ายต่อใบเสร็จและความถี่ในการใช้บริการ รวมถึง เพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคยกเว้นภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ร้านค้าประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าปลีก-ส่งที่จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในภูมิภาค ยกเว้นกรุงเทพปริมณฑลเติบโต ชัดเจน

ปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นโครงการคนละครึ่งพลัส-งบประมาณสวสดิการภาครัฐ เป็นหลัก โดยพบว่ายอดใช้จ่ายโครงการคนละครึ่งพลัส ณ วันที่ 7 ธันวาคม 2568 พบว่า มีร้านค้าเข้าร่วมจำนวน 993,506 ราย มีผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิครบเต็มจำนวน 3,660,535 ราย ยอดการใช้จ่ายในโครงการรวมร้านค้าทุกประเภทจำนวน 70,023 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่รัฐบาลร่วมจ่าย 34,469 ล้านบาท และเงินที่ประชาชนจ่าย 35,554 ล้านบาท

ซึ่งร้านค้าประเภท ภัตตาคารและร้านอาหาร-เครื่องดื่ม โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ให้สิทธิกับร้านค้าขนาดเล็ก และ Delivery ส่งผลให้ กลุ่มภัตตาคารร้านอาหารขนาดกลางและขนาดใหญ่แทบจะไม่ได้ผลลัพธ์จากโครงการ แม้ว่าจะมี โครงการ “เที่ยวดีมีคืน” ที่ส่งเสริมภัตตาคาร ร้านอาหารที่อยู่ในระบบภาษี แต่ได้ผลลัพธ์น้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีฐานการเสียภาษีระดับบนซึ่งมีอยู่ราว 2-3 ล้านคน และส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพปริมณฑล

ปัจจัยที่ทำให้ดัชนี RSI เดือนพ.ย. เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนต.ค. มาจาก

1. เป็นปกติของวัฏจักรเศรษฐกิจที่เดือนพฤศจิกายนจะดีกว่าเดือนตุลาาคม

2. ผลจากโครงการ “คนละครึ่งพลัส” และงบประมาณสวัสดิการภาครัฐ

3. ผลจากการเร่งเบิกจ่ายงบทั่วไปและงบลงทุนของรัฐบาลที่ขยายตัว ถึง 27 % ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของเดือนต.ค. ในช่วงปี 2014-2024 ที่อยู่ที่ 13.9%

4. นักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีน เริ่มกลับมาสู่ระดับใกล้เคียงปกติ ถือเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจค้าปลีกในพื้นที่ท่องเที่ยว

5. ผลจากแรงโหมกระหน่ำธุรกิจสร้างบรรยากาศ “เทศกาลส่งความสุขปลายปี” แต่เนิ่นๆ

6.ภัตตาคาร-ร้านอาหาร ยอดขายทรงตัว เนื่องจากไม่ได้ผลลัพธ์จาก โครงการ “คนละครึ่งพลัส”

อานิสงส์ “คนละครึ่งพลัส” ดัน “ค้าปลีก” ฟื้นยอดขาย “เหนือ-อีสาน” พุ่ง “กรุงเทพฯ-ภาคกลาง” ซบ

อย่างไรก็ตาม หากเจาะลึกลงไปจะเห็นว่า เกิดการเพิ่มขึ้นจากทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น ยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่ปรับจาก 49.4 จุด ไปที่ 58.6 จุด เพิ่มขึ้น 9.2 จุด โดยภาพรวมยอดขายเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้นเกือบ 10-15% เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม ขณะที่ยอดใช้จ่ายต่อใบเสร็จ (Spending per Bill หรือ Per Basket Size) ปรับจาก 46.9 จุด ไปที่ 61.8 จุด เพิ่มขึ้น 14.9 จุด เป็นผลจากโครงการ “คนละครึ่งพลัส” และงบประมาณสวัสดิการภาครัฐ

ส่วนความถี่ในการใช้บริการ (Frequency) ปรับจาก 49.4 จุด ไปที่ 54.6 จุด เพิ่มขึ้น 5.2 จุด มาจากการจับจ่ายในร้านค้าประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้าจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค เพิ่มขึ้นชัดเจน จากการหมุนของเม็ดเงิน “คนละครึ่งพลัส” รอบสอง กล่าวคือ จากสารตั้งต้น ประชาชนผู้ไปใช้สิทธิ์ 20 ล้านคน สู่ร้านค้าปลีกขนาดเล็ก ผู้มีสิทธิ์กว่า 800,00 ร้านค้า > จากร้านค้าปลีก สู่ไฮเปอร์มาร์ท และ ร้านค้าส่ง

หากพิจารณายอดขายสาขาเดิมแยกตามภูมิภาค พบว่า ยังอยู่ต่ำกว่าเส้นระดับค่ากลางที่ 50 จุดทุกภูมิภาค โดย “กรุงเทพและปริมณฑล” ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ มี GPP ค้าปลีกค้าส่งและบริการมีสัดส่วนมากถึง 43% ของมูลค่า GPP ค้าปลีกค้าส่งและบริการทั้งประเทศ กรุงเทพปริมณฑลจึงมีความหลากหลายทั้งในกลุ่มผู้บริโภค และ ประเภทร้านค้าและบริการ จะพบว่า

ยอดขายทั่วไปลดลง โดยเฉพาะร้านสะดวกซื้อ ซุปเปอร์มาร์เก็ต และภัตตาคาร-ร้านอาหาร ลดลงมากกว่า 5% เป็นผลจากการไม่มีสิทธิเข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่งพลัส” และ “งบประมาณสวัสดิการภาครัฐ” อีกทั้ง ผู้มีสิทธิที่มีภูมิลำเนาในกรุงเทพปริมณฑลก็มีจำนวนน้อย ราว 2.5-3 ล้านคนจากผู้มีสิทธิ 30 ล้านคนส่งผลให้ ส่งผลให้ปัจจัยทั้ง Shopping per Basket และ Frequency of Shopping ลดลงมาก ในขณะที่ร้านค้าวัสดุก่อสร้างยอดขายลดลงตามฤดูกาล

อานิสงส์ “คนละครึ่งพลัส” ดัน “ค้าปลีก” ฟื้นยอดขาย “เหนือ-อีสาน” พุ่ง “กรุงเทพฯ-ภาคกลาง” ซบ

ภาคกลาง ซึ่งประกอบด้วยภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคตะวันตก เป็นภูมิภาคที่มีรายได้หลัก 3 แหล่ง ทั้งจากนิคมอุตสาหกรรม ผลผลิตทางการเกษตร และการท่องเที่ยว พบว่า ยอดขายลดลงในทุกประเภทร้านค้าปลีกไม่ว่า จะเป็นร้านสะดวกซื้อ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มาร์ท ภัตตาคาร-ร้านอาหาร และวัสดุก่อสร้าง การลดลงเป็นการลดลงที่ชัดเจนมากในความถี่ในการจับจ่าย Frequency of Shopping

ส่วน Shopping per Basket ทรงตัว สะท้อนถึงผู้บริโภคส่วนหนึ่งมุ่งเน้นไปใช้จ่ายผ่านโครงการ “คนละครึ่งพลัส” และ “งบประมาณสวัสดิการภาครัฐ” เนื่องจากร้านค้าปลีก-ค้าส่งส่วนใหญ่ที่ตอบแบบสอบถาม ดัชนี RSI ไม่มีสิทธิเข้าร่วมโครงการ ส่วนผู้บริโภคที่ไม่มีสิทธิใน โครงการ “คนละครึ่งพลัส” และ “งบประมาณสวัสดิการภาครัฐ” ก็มาจับจ่ายเป็นปกติ

ขณะที่ภาคเหนือ ประกอบด้วยภาคเหนือตอนบนที่มีรายได้หลักจากด้านการท่องเที่ยว และบริเวณภาคเหนือตอนล่างที่มีภาคเกษตรเป็นรายได้หลัก พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นชัดเจน โดยร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าอุปโภค-บริโภค ซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็ก ร้านสะดวกซื้อขนาดเล็ก ร้านจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์เบเกอรี่ มียอดขาย เพิ่มขึ้นมากกว่า 5%

อานิสงส์ “คนละครึ่งพลัส” ดัน “ค้าปลีก” ฟื้นยอดขาย “เหนือ-อีสาน” พุ่ง “กรุงเทพฯ-ภาคกลาง” ซบ

โดยเพิ่มขึ้นมากทั้งจาก การจับจ่าย Shopping per Basket และความถี่ในการจับจ่าย Frequency of Shopping ในขณะที่ ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง แฟชั่น เครื่องหนัง เครื่องสำอาง ทรงตัว ส่วน ภัตตาคาร ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ยอดขายลดมากกว่า 5%

ด้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีประชากรรวมกันมากกว่าหนึ่งในสามของประเทศ รายได้ส่วนใหญ่อยู่ภาคเกษตรกรรมและภาคการค้า มีดัชนีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นชัดเจน แม้จะต้องเผชิญกับแรงกดดันจากราคาพืชผลตกต่ำ การจ้างงานเกษตรลดลง และกำลังซื้อของครัวเรือนที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ ความไม่สงบจากการปะทะตามชายแดนไทย-กัมพูชา

แต่จากโครงการ “คนละครึ่งพลัส” และ “งบประมาณสวัสดิการภาครัฐ” ส่งผลให้การบริโภคของภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ร้านค้าประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ต และร้านจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ร้านค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ ได้รับอานิสงส์ทางอ้อมเต็มๆ จะพบว่ายอดขายเพิ่มขึ้นมากกว่า 5% การเพิ่มขึ้น

จึงเป็นการเพิ่มขึ้นทั้ง Shopping Per Basket และ Frequency of shopping ส่วนร้านค้าประเภทร้านสะดวกซื้อ ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ที่เป็นสาขาจากส่วนกลาง ยอดขายลดลงมาก ร้านค้าประเภทภัตตาคาร-ร้านอาหารเครื่องดื่ม ทรงตัว

ส่วนภาคใต้ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก รองลงเป็นก็เป็นพืชเศรษฐกิจสองชนิดคือ ยางพาราและปาล์ม พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นลดลงมากสวนทางกับภูมิภาคอื่นๆ เป็นการลดลงของทุกประเภทร้านค้า ซึ่งเป็นผลจากฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงและอุทกภัยครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ที่หาดใหญ่

ดัชนีความเชื่อมั่นในเดือนพฤศจิกายน 2568 โดยรวมลดลง จากการสำรวจในรายละเอียด พบว่า ร้านค้าประเภทภัตตาคาร-ร้านอาหาร-เครื่องดื่ม ที่ไม่ได้รับสิทธิ ในโครงการ “คนละครึ่งพลัส” และ “งบประมาณสวัสดิการภาครัฐ” ส่งผลให้ยอดขายลดลงมากกว่า 5% การลดลงเป็นการลดลงของ Frequency of Shopping

ในขณะที่ Shopping per Basket สะท้อนถึงว่า ลูกค้ายังจับจ่ายเท่าเดิม แต่ลูกค้าส่วนหนึ่งหนีไปใช้สิทธิ “คนละครึ่ง” การลดลงของ Frequency of Shopping เห็นได้ชัดในภูมิภาค ในขณะที่ ในเขตกรุงเทพปริมณฑล ทรงตัว

อย่างไรก็ตาม หากมองในระยะยาว ดัชนี RSI ระยะ 3 เดือนข้างหน้าปรับลดลง 3.8 จุด จาก 65.6 จุด มาอยู่ที่ 61.8 จุด ลดลงครั้งแรกหลังจากเพิ่มขึ้นต่อเนื่องสี่เดือน ปัจจัยหลักมาจากการที่ผู้ประกอบการยังคงความกังวลในความต่อเนื่องของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวซึ่งสามารถสัมผัสได้และมีให้เห็นไปทั่วในประเทศ กำลังซื้ออ่อนแอ ประชาชนประหยัด

ไม่จับจ่ายใช้สอย ราคาสินค้าเกษตรตกตํ่า และประชาชนกังวลมากขึ้นเรื่องรายได้ การชําระหนี้และการมีงานทำ นอกจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่าง โครงการ “คนละครึ่ง” งบประมาณสวัสดิการภาครัฐ โครงการ “เที่ยวดีมีคืน” ก็ยังไม่เห็นโครงการอื่นๆที่จะตามมา ทิศทางทางการเมืองถูกโหมโรงถึงความไม่แน่นอน ในอนาคตอันใกล้

 

หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,157 วันที่ 14 - 17 ธันวาคม พ.ศ. 2568