KEY
POINTS
วันที่ 12 ธันวาคม 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ ส.ส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงโครงการ “คนละครึ่งเฟส 2” ที่รัฐบาลเคยคิดจะดำเนินการว่า ต้องพับโครงการไว้ก่อน เนื่องจากข้อจำกัดทางกฎหมายเลือกตั้งไม่เอื้อให้รัฐบาลรักษาการอนุมัติมาตรการลักษณะนี้ได้
แม้ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และ รมว.คลัง เตรียมนำเสนอเข้าที่ประชุม ครม. ในวันที่ 16 ธันวาคม แต่คำสั่งยุบสภามาก่อนทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้
ส่วนกรณีนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาอย่างกะทันหัน จนถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการ “หักหลัง” พรรคประชาชน และอาจสะท้อนถึงความไม่จริงใจต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น นายภราดร ชี้แจงว่า พรรคภูมิใจไทย คือ พรรคที่มีความตั้งใจมากที่สุดในการผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญ ตั้งแต่วาระแรกของสภา โดยตนได้อภิปรายชัดเจนว่า พรรคพร้อมปลดทุกชนวนอุปสรรคเพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จ
นายภราดร ระบุว่า ในชั้นกรรมาธิการ พรรคภูมิใจไทยยอมถอยในหลายประเด็นเพื่อไม่ให้เนื้อหากลายเป็นอุปสรรคต่อการเดินหน้าปฏิรูปใหญ่ของประเทศ แต่ประเด็นสำคัญเกิดขึ้นในการลงมติ มาตรา 256/28 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ซึ่งเป็นผลสู้กันระหว่างกรรมาธิการเสียงข้างมากและญัตติของวุฒิสภา โดยฝ่าย ส.ว. ระบุชัดว่า หากแพ้ในวาระ 2 และวาระ 3 ก็จะไม่โหวตให้ในวาระสุดท้ายอย่างแน่นอน ส่งผลให้ไม่อาจรวบรวมเสียง ส.ว. ได้ถึง 67 เสียงตามรัฐธรรมนูญ
“ดังนั้น การตัดสินใจของพรรคไม่ได้มาจากเนื้อหาที่เห็นต่าง แต่เรามองที่ ‘ปลายทาง’ ว่าหากเดินต่อด้วยเนื้อหาแบบนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไม่สามารถสำเร็จตามที่ให้สัญญาไว้ เราจึงต้องลงมติตามการสงวนความเห็นของ ส.ว. เพื่อรักษาเส้นทางในวาระสุดท้าย” นายภราดร กล่าว
พร้อมเปิดเผยเพิ่มเติมว่า เมื่อเปิดประชุมวิสามัญวันที่ 10 ธันวาคม มีสมาชิกบางส่วนจะเสนอญัตติด่วนเพื่อบรรจุเรื่อง “คำถามประชามติคำถามที่หนึ่ง” ไว้ในระเบียบวาระ ซึ่งมีความพยายามจะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม แต่ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นว่า การริเริ่มประชามติควรเริ่มจากรัฐสภา ไม่ใช่จากฝ่ายบริหาร ทำให้ไม่สามารถเข้าสู่ ครม. ได้ และจึงต้องย้ายกลับมาเป็นญัตติด่วนในสภา
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ นายภราดรย้ำว่า เป็นหลักฐานชัดเจนว่าพรรคภูมิใจไทยปฏิบัติตามบันทึกความเข้าใจ (MOA) กับพรรคประชาชนอย่างครบถ้วน
ผู้สื่อข่าวถามว่าการยุบสภาท่ามกลางสถานการณ์ปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา จะทำให้ประชาชนมองว่ารัฐบาลละทิ้งหน้าที่หรือไม่ นายภราดร กล่าวว่า รัฐบาลรักษาการสามารถทำงานด้านความมั่นคงและภัยพิบัติได้ตามปกติ จนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ โดยภารกิจเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดน ภัยสงคราม หรือเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ สามารถดำเนินต่อไปตามอำนาจหน้าที่เดิม