ภายหลังจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้กราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการทั่วไป
การยุบสภามีขึ้นหลังจากที่สมาชิกรัฐสภาเสียงข้างมากมีมติให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256/28 ต้องได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกวุฒิสภาไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนทั้งหมด ส่งผลให้ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้าน ซึ่งเป็นพรรคที่สนับสนุนนายอนุทินดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้ยุบสภา หลังพบว่าสมาชิกพรรคภูมิใจไทยลงมติเป็นเสียงข้างมากในประเด็นดังกล่าว
ภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 เมื่อมีการยุบสภา คณะรัฐมนตรีถือว่า พ้นจากตำแหน่ง แต่ยังต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ารับตำแหน่ง แม้รัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติชื่อเรียกโดยตรง แต่ในทางวิชาการเรียกว่า “รัฐบาลรักษาการ” (Caretaker Government) ซึ่งยังมีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน
เพื่อป้องกันมิให้รัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีใช้ช่วงรักษาการแสวงหาประโยชน์หรือสร้างความได้เปรียบทางการเมือง รัฐธรรมนูญกำหนด ข้อจำกัดการใช้อำนาจของรัฐบาลรักษาการ ไว้อย่างชัดเจน ได้แก่
1. ไม่อนุมัติงานหรือโครงการใหม่ ที่ก่อให้เกิดภาระผูกพันต่อรัฐบาลชุดใหม่ เว้นแต่กำหนดไว้ในงบประมาณประจำปี
2. ไม่แต่งตั้ง โยกย้าย หรือปลดข้าราชการประจำหรือรัฐวิสาหกิจ เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
3. ไม่อนุมัติใช้เงินงบประมาณสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจาก กกต.
4. ไม่ใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรรัฐเพื่อกระทำการใดที่มีผลต่อการเลือกตั้ง
นอกจากนี้ การทำหน้าที่ของรัฐบาลรักษาการยังต้องสอดคล้องกับหลักความเสมอภาค ความสุจริต และโอกาสที่เท่าเทียมกันของผู้สมัครทุกพรรค ภายใต้ระเบียบ กกต. ว่าด้วยการใช้ทรัพยากรของรัฐ พ.ศ. 2563
หลักการให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป หรือ รัฐบาลรักษาการ เป็นแนวปฏิบัติที่ใช้กันทั่วไปในหลายประเทศ เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินดำเนินต่อเนื่อง และป้องกันการใช้ช่วงรอยต่อแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง