KEY
POINTS
“บ้านใหญ่" ทั่วประเทศทยอยเทใจซบพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ภายใต้การนำของ “อนุทิน ชาญวีรกูล" อย่างต่อเนื่อง ก่อนถึงศึกเลือกตั้งใหญ่ ที่ใกล้เข้ามา โดยเฉพาะหลังสัญญาณ “ยุบสภา” ที่เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
การรวมศูนย์อำนาจและฐานเสียงในมือค่ายน้ำเงิน กำลังทำให้พรรคนี้ กลายเป็นขั้วอำนาจหลัก และสร้างแรงสั่นสะเทือนทางการเมือง คำถามคือ กลยุทธ์ "การดูด" ครั้งนี้ จะส่งให้ ภท. บรรลุเป้าหมาย สส. 150 ที่นั่ง ได้จริงหรือไม่?
ปรากฏการณ์"บ้านใหญ่"แห่ซบ ภท.
ในช่วงที่ผ่านมา จนถึงห้วงที่กระแสการ “ยุบสภา” เริ่มเป็นรูปธรรม ปรากฏการณ์ที่โดดเด่นที่สุดในการเมืองไทย คือ การย้ายพรรคของ สส. นักการเมืองระดับชาติ และ ระดับท้องถิ่น ที่เคลื่อนย้ายฐานเสียง หรือที่เรียกกันว่า “บ้านใหญ่" เข้าสู่พรรคภูมิใจไทยอย่างไม่ขาดสาย เหตุเพราะ
• แม่เหล็กที่แข็งแกร่ง: ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภูมิใจไทยเป็นที่พึ่งของบ้านใหญ่ คือ การเป็นพรรคที่เคยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และมีความเป็นไปได้สูงที่จะร่วมจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้งในอนาคต ทำให้บ้านใหญ่เชื่อมั่นว่า การอยู่กับ ภท. คือการอยู่ใน "ขั้วอำนาจ" ที่สามารถผลักดันงบประมาณ และโครงการพัฒนาลงสู่พื้นที่ของตนได้จริง
• นโยบายติดดิน: นโยบายที่เข้าถึงง่ายและทำได้จริง เช่น การปลดล็อกกัญชา, การพักหนี้, โครงการคนละครึ่งพลัส หรือ นโยบายด้านคมนาคมขนาดใหญ่ ถูกมองว่า ตอบโจทย์ประชาชนในพื้นที่ต่างจังหวัด ทำให้ผู้สมัครมี "ต้นทุน" ในการหาเสียงสูง
• การบริหารจัดการไร้รอยต่อ: โครงสร้างภายในพรรคมีความเป็นเอกภาพสูงภายใต้การนำของ "อนุทิน ชาญวีรกูล" และ "ครูใหญ่-เนวิน ชิดชอบ" ซึ่งมาจากการบริหารจัดการ ทำให้เกิดความคล่องตัวในการตัดสินใจ และให้การสนับสนุนบ้านใหญ่ในพื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
เป้าสส. 150 ที่นั่งไม่ไกลเกินจริง?
การตั้งเป้าหมาย สส. 150 ที่นั่ง ของพรรคภูมิใจไทย ถือเป็นการประกาศศักดาที่ทะเยอทะยานอย่างยิ่ง เนื่องจากในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ภท.ได้รับการเลือกตั้งมาประมาณ 71 ที่นั่ง การจะเพิ่มจำนวน สส. ขึ้นเป็นกว่าเท่าตัว จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ:
1.ยึดภาคอีสานตอนล่างและกลาง : ภาคอีสานตอนล่าง และ ภาคกลางตอนล่าง ยังคงเป็นฐานที่มั่นหลักของ ภท. ด้วยอิทธิพลของ "บ้านใหญ่บุรีรัมย์" และพื้นที่ใกล้เคียง การกวาดที่นั่งในเขตเหล่านี้ให้ได้เกือบทั้งหมดจะเป็นเสาหลักที่สำคัญ
2.ขยายฐานเจาะภาคกลาง/ตะวันออก/ภาคใต้/ภาคเหนือ : ความสำเร็จในการดึงดูดนักการเมืองท้องถิ่น ที่มีชื่อเสียงในภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก ทำให้ ภท. มีโอกาสเจาะที่นั่งจากพรรคคู่แข่งเดิม โดยเฉพาะในเขตที่เน้นการเมืองท้องถิ่น
3.กรุงเทพมหานคร (กทม.): การตั้ง น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี เป็นแม่ทัพลุยศึก กทม. และการเปิดรับผู้สมัครที่มีความหลากหลาย (ทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่) สะท้อนเป้าหมายที่จะ "ปักธง" ใน กทม. ให้ได้ แม้จะเป็นพื้นที่ที่ ภท. ยังไม่เคยประสบความสำเร็จก็ตาม หากทำได้เพียง 3-5 ที่นั่ง ก็ถือเป็นการเพิ่มแต้มที่สำคัญ
การคำนวณกำลังรบ
การที่ภูมิใจไทยดึงดูด สส. และผู้สมัครที่มีศักยภาพสูงจากพรรคอื่น ๆ มาได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้พรรคมี “ผู้สมัครเกรด A - B" ในเขตเลือกตั้งต่างจังหวัด การรวมศูนย์ของ “บ้านใหญ่” หมายถึงการที่ ภท. สามารถควบคุมฐานเสียงในเขตต่างจังหวัดได้มากขึ้น
หากพรรคสามารถกวาดที่นั่งในพื้นที่บ้านใหญ่ ภาคอีสาน ได้ถึง 80-90 ที่นั่ง และสามารถเจาะพื้นที่ภาคกลาง ภาคเหนือ และ ภาคใต้ เพิ่มได้อีก 50-60 ที่นั่ง
เป้าหมาย 150 ที่นั่ง ก็จะกลายเป็นเรื่องที่ "ไม่ไกลเกินเอื้อม" และอาจทำให้ ภท. กลายเป็นพรรคอันดับ 1 หรือ 2 ในการเลือกตั้ง 2569
ความท้าทายที่ต้องระวัง
แม้จะมีกระแสลมหนุน แต่พรรคภูมิใจไทย ก็เผชิญกับความท้าทายสำคัญ อาทิ:
•กระแส "ไม่เอาบ้านใหญ่": การเมืองไทยในปัจจุบันไม่ได้ขึ้นอยู่กับ "บ้านใหญ่" เพียงอย่างเดียว แต่มีกระแส "เลือกพรรค" โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม. และหัวเมืองใหญ่ ภท.ต้องเผชิญกับพรรคที่มีกระแสสูงอย่าง พรรคประชาชน และ พรรคเพื่อไทย
• นโยบายกัญชา: แม้นโยบายกัญชาจะเป็นจุดขาย แต่ก็เป็นดาบสองคมที่อาจสร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มอนุรักษ์นิยม และ ผู้ห่วงใยด้านสาธารณสุข
• ความขัดแย้งภายใน: การ "ดูด" บ้านใหญ่จำนวนมาก อาจนำไปสู่ความขัดแย้งเรื่องการจัดสรรเขตเลือกตั้งภายในพรรคเอง ซึ่งต้องอาศัยการบริหารจัดการที่รัดกุมจากผู้บริหารพรรค
พรรคภูมิใจไทยกำลังอยู่ในช่วงที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของพรรค การเข้ามาของ "บ้านใหญ่" ทั่วประเทศ คือ “ต้นทุนทางการเมือง" ที่สำคัญ
การตั้งเป้าหมาย สส. 150 ที่นั่ง ไม่ใช่แค่การประกาศ แต่คือสัญญาณที่ว่า พรรคภูมิใจไทยกำลังวางหมาก เพื่อเป็น “แกนนำ” ในการจัดตั้งรัฐบาล หลังการเลือกตั้ง 2569 และส่ง “อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 อีกสมัย 4 ปี...