KEY
POINTS
ประเทศไทยแสดงความผิดหวังต่อท่าทีของสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) หลังสหรัฐแจ้งระงับการเจรจากรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทนไทย-สหรัฐ (TIFA) เป็นการชั่วคราว พร้อมเงื่อนไขให้ไทยต้องแสดงความมุ่งมั่นปฏิบัติตาม “ปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา” ก่อนกลับมาเปิดโต๊ะเจรจาอีกครั้ง
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อคืนวันที่ 14 พ.ย. ไทยได้รับการแจ้งอย่างเป็นทางการจากรองผู้แทนการค้าสหรัฐว่า ขอยุติการหารือด้านภาษีนำเข้าชั่วคราว โดยให้เหตุผลว่าต้องการรอความคืบหน้าความร่วมมือด้านความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
“ไทยผิดหวังในท่าทีดังกล่าว เพราะเราได้ย้ำมาโดยตลอดว่า ความมั่นคงชายแดนเป็นประเด็นทวิภาคีไทย-กัมพูชา ไม่ควรถูกนำมาเชื่อมโยงกับการเจรจาการค้า ซึ่งเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของไทยและสหรัฐ” นายนิกรเดช กล่าว
โฆษก กต. ระบุว่า ในการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กับ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ฝ่ายสหรัฐได้ย้ำว่า ไม่ได้มีเจตนาแทรกแซงการจัดการปัญหาไทย–กัมพูชา และยังสนับสนุนการแก้ปัญหาผ่านกลไกทวิภาคีตามที่สองประเทศใช้อยู่
ไทยจึงชี้แจงว่า การแยกแยะระหว่าง ความมั่นคงชายแดน กับ การเจรจาการค้าระดับทวิภาคี เป็นสิ่งจำเป็น และขอให้สหรัฐพิจารณาแยกสองประเด็นนี้ออกจากกันเช่นเดียวกัน พร้อมยืนยันว่าไทยยังมีความมุ่งมั่นเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) และการเปิดตลาดร่วมกับสหรัฐต่อไป
นายนิกรเดช เปิดเผยด้วยว่า ประธานาธิบดีสหรัฐแสดงความเข้าใจในจุดยืนประเทศไทย หลังนายกฯ ชี้แจงอย่างเป็นทางการ และยังรับปากว่าจะพูดคุยทำความเข้าใจกับผู้แทนการค้าสหรัฐเพิ่มเติมด้วยตนเอง
ส่วนโพสต์ของนายอนุทิน ที่ระบุว่า หากไทยแก้ปัญหาทุ่นระเบิดได้จะขอลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐนั้น ทรัมป์ยังตอบแบบหยอกล้อว่า “จะช่วยให้ด้วยความยินดี” สะท้อนบรรยากาศการพูดคุยที่เป็นไปในเชิงบวก
เมื่อถามถึงทิศทางการรับมือมาตรการภาษีของสหรัฐต่อจากนี้ โฆษก กต. ตอบว่า นายอนุทินได้ย้ำต่อประธานาธิบดีสหรัฐแล้วว่า ไทยตั้งใจแยกการจัดการปัญหาชายแดนออกจากการค้า แต่ไทยก็จะเร่งใช้กลไกความร่วมมือกับกัมพูชาเพื่อหาทางออกโดยเร็ว
พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า การหารือกับสหรัฐและนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในช่วงนี้ จะมีส่วนช่วยกดดันให้กัมพูชาตระหนักถึงเป้าประสงค์ด้านสันติภาพชายแดนของไทย ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการเดินหน้าเศรษฐกิจในภูมิภาค
นายนิกรเดช ย้ำว่า แนวทางของรัฐบาลคือ “เดินหน้าบนผลประโยชน์ของประเทศไทยเป็นสำคัญ” ทั้งในประเด็นสันติภาพชายแดน และการรักษาความสามารถแข่งขันของไทยในตลาดโลก ผ่านการเจรจาการค้าเสรี การเปิดตลาดใหม่ และการดำเนินความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับนานาชาติต่อไปโดยไม่สะดุด