KEY
POINTS
รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินหน้าเข้าสู่โหมด “เร่งเครื่องเต็มกำลัง” ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนครบวาระและ “ยุบสภา” ภายในวันที่ 31 มกราคม 2569
โดยล่าสุด ประกาศเดินหน้า โครงการ “คนละครึ่งพลัส เฟส 2” เพิ่มเงินช่วยเหลือให้กับกลุ่มตกสำรวจ คนละ 4,000 บาท พร้อมขยายสิทธิ์ให้กับผู้ที่เคยเข้าร่วมในเฟสแรก เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนและสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในช่วงปลายปี
นายอนุทิน เปิดเผยระหว่างลงพื้นที่ตรวจราชการที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ว่า รัฐบาลได้เตรียมการเดินหน้าโครงการ “คนละครึ่งพลัส เฟส 2” ภายใต้นโยบาย “Quick Big Win” ซึ่งถือเป็นนโยบายเรือธงด้านเศรษฐกิจ เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มมีส่วนร่วมในการจับจ่ายใช้สอย
“ถ้าใครตกสำรวจในเฟสแรก ก็ให้รอสมัครเฟส 2 เดิมทีให้คนละ 2,000 บาท ก็เพิ่มเป็นคนละ 4,000 บาท เพื่อไม่ให้ตกค้าง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพราะเงินนี้รัฐบาลเตรียมไว้แล้ว” นายกฯ กล่าวย้ำ
แนวทางดังกล่าวเป็นการต่อยอดจากโครงการ “คนละครึ่งพลัส เฟส 1” ซึ่งเปิดให้ใช้จ่ายได้วันละไม่เกิน 200 บาท โดยรัฐบาลร่วมจ่ายครึ่งหนึ่งของยอดซื้อ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพและพยุงเศรษฐกิจฐานรากในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งถือว่ามีผลในเชิงบวก ทั้งในด้านการบริโภคภายในประเทศ และบรรยากาศการค้าในระดับชุมชน
คนละครึ่งเฟส 2 ใช้สิทธิ ม.ค.69
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบรายละเอียดโครงการ “คนละครึ่งพลัส เฟส 2” ทั้งเรื่องเงื่อนไขการเข้าร่วม วงเงินต่อคน และการบริหารงบประมาณ โดยจะเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีภายในเดือนธันวาคม เพื่อให้สามารถเริ่มใช้จริงได้ในเดือนมกราคม 2569
กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณาความเหมาะสมของการให้สิทธิ์ในแต่ละกลุ่ม เช่น ผู้ที่ได้รับเงินในเฟสแรก 2,000 บาท อาจได้รับเพิ่มอีกในเฟส 2 รวมเป็น 4,000 บาท หรือจะให้เฉพาะผู้ตกสำรวจในรอบแรก ซึ่งทั้งหมดขึ้นอยู่กับกรอบงบประมาณและความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย
“เรามีแนวคิดเพื่อความยุติธรรม เช่น คนที่ได้เฟสแรกไปแล้ว อาจได้ในเฟสสองน้อยกว่าผู้ที่ได้รับสิทธิ์ครั้งแรก เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงสิทธิ์อย่างเท่าเทียม” ปลัดคลัง กล่าว
เร่งประชานิยมรับเลือกตั้ง
ในทางการเมือง มาตรการ “คนละครึ่งพลัส เฟส 2” ถูกมองว่าเป็น สัญญาณชัดเจนของการเดินเกม “ประชานิยมก่อนยุบสภา” ที่รัฐบาลอนุทินต้องการใช้เป็น “แรงส่งทางการเมือง” สร้างความนิยม และรักษาฐานเสียงของกลุ่มชนชั้นกลางระดับล่าง โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และ ภาคใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่หลักของฐานเสียงพรรคภูมิใจไทย
โครงการลักษณะนี้นอกจากสร้างภาพลักษณ์ “รัฐบาลที่ใส่ใจประชาชน” แล้ว ยังช่วยปลุกบรรยากาศการใช้จ่ายและสร้างตัวเลขจีดีพี ให้ขยับในช่วงไตรมาสสุดท้ายก่อนเข้าสู่ปีเลือกตั้ง
นอกจาก “คนละครึ่งพลัส เฟส 2” แล้ว รัฐบาลยังขับเคลื่อนมาตรการประชานิยมชุดใหญ่หลายรายการต่อเนื่อง ได้แก่
ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นถึงแนวทาง “รัฐสวัสดิการเชิงรุก” ของ “รัฐบาลอนุทิน” ที่ต้องการสร้างภาพรัฐบาลที่ “ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง” และวางรากฐานให้เศรษฐกิจฐานรากกลับมาฟื้นตัว
เติมคะแนนเสียงในกระเป๋า
“คนละครึ่งพลัส เฟส 2” ไม่ได้เป็นเพียงโครงการเศรษฐกิจระยะสั้นเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็น “เครื่องมือทางการเมือง” ที่ทรงพลังในทางเลือกตั้ง
การ “เร่งเครื่องประชานิยม” จึงถูกมองว่า เป็นยุทธศาสตร์สองขา ขาหนึ่งกระตุ้นเศรษฐกิจให้เดินหน้า อีกขาหนึ่งสร้างคะแนนนิยมก่อนเข้าสู่การเลือกตั้ง
การประกาศ “คนละครึ่งพลัส เฟส 2” ในจังหวะที่รัฐบาลเหลือเวลาไม่ถึง 3 เดือนก่อนครบวาระ จึงไม่ใช่เพียงเรื่องเศรษฐกิจ แต่คือ การส่งสัญญาณทางการเมืองอย่างชัดเจนว่า “รัฐบาลอนุทิน” พร้อมเข้าสู่โหมด “ประชานิยมเลือกตั้ง” อย่างเต็มรูปแบบ
โครงการนี้จึงไม่เพียงเติมเงินในกระเป๋าประชาชน แต่ยังอาจเติมแรงหนุนในกระเป๋าคะแนนเสียงของรัฐบาล
เป้าหมายที่พรรคภูมิใจไทยจะกลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และ อนุทิน ชาญวีรกูล นั่งเก้าอี้นายกฯ อีกสมัย ก็ไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวเกินไป...
+++++++++
ภูมิใจไทยทยอยเปิดตัว“บ้านใหญ่”ลง สส.
เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี แกนนำพรรคภูมิใจไทย ได้เปิดตัวผู้สมัคร สส. จังหวัดกาฬสินธุ์ 6 เขต ประกอบด้วย เขต 1 นายเทิดแผ่นดินทอง ธารชัย, เขต 2 นางวันเพ็ญ เศรษฐรักษา, เขต 3 นายเดชบดินทร์ พยุงแสนกุล, เขต 4 นายวิรัตน์ ภูต้องใจ, เขต 5 น.ส.ภัทรภร วรามิตร, เขต 6 น.ส.สัตบุษย์ บุญเรือง
จังหวัดร้อยเอ็ด 8 เขต ประกอบด้วย เขต 1 นายธนชัย สินธุไพร, เขต 2 น.ส.วสกมล อ่อนประทุม, เขต 3 นายกิตติศักดิ์ เลิศศิริรังสรรค์, เขต 4 นายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์, เขต 5 นายชัยวุฒิ เอี่ยมรัศมีกุล, เขต 6 น.ส.กวิสรา สมทรัพย์, เขต 7 นายศักดา คงเพชร, เขต 8 นายธนกฤต ชาติอนุลักษณ์
นอกจากนี้ เปิดตัวผู้สมัคร สส.กาญจนบุรี เขต 5 ได้แก่ นายประวีณวัช บุญยงค์
นายโสภณ กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยส่งผู้สมัครครบทุกเขตใน จ.กาฬสินธุ์ และ ร้อยเอ็ด มีความมั่นใจว่าจะได้ที่นั่ง สส.เกินครึ่งในแต่ละจังหวัด ซึ่งกาฬสินธุ์ พรรคภูมิใจไทยเคยมีผู้แทน 1 คน ขณะที่จังหวัดร้อยเอ็ดไม่เคยปักธงมาก่อน
แต่จากการลงพื้นที่พบว่า ประชาชนให้การตอบรับอย่างอบอุ่น โดยเฉพาะจากนโยบายที่ประชาชนพึงพอใจ เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส และการแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งเป็นปัญหาหลักของทั้งสองจังหวัด โดยเน้นให้มีศูนย์บำบัดยาเสพติดทุกอำเภอ แยกผู้ป่วยออก ทำให้ประชาชนเชื่อมั่น
"วันนี้พรรคภูมิใจไทยมีกระแสการตอบรับของประชาชนอย่างดียิ่ง ซึ่งที่ผ่านมายอมรับว่า พรรคเราไม่มีกระแส อย่างที่เป็นเหมือนวันนี้ บวกกับบุคลิกของ สส.ของพรรคซึ่งเป็นนักปฏิบัติมากกว่าใช้วาทกรรมคำพูด จึงมีความมั่นใจอย่างเต็มที่”
นายโสภณ ระบุด้วยว่า แม้จะเป็นรัฐบาลเฉพาะกาล 4 เดือน แต่พรรคมุ่งมั่นทำงานเพื่อพิสูจน์ผลงาน หากทำ 4 เดือนนี้ให้ปรากฏชัดเจน ก็เชื่อว่าจะสามารถกลับมาเป็นรัฐบาลได้ 4 ปี
ถัดมาวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช. มหาดไทย แกนนำพรรคภูมิใจไทย เปิดตัว นายศักดิ์ดา จันทรสุวรรณ ผู้สมัคร สส.หนองคาย เขต 3 ที่มาพร้อมกับผู้บริหารท้องถิ่นจาก อ.สังคม, อ.ท่าบ่อ, อ.ศรีเชียงใหม่, และ อ.โพธิ์ตาก ประมาณ 60 คน
นอกจากนี้ ยังเปิดตัว นายธนกฤต จรรย์โกมล ผู้สมัคร สส.ชัยภูมิ เขต 5 และ นายบรม เอ่งฉ้วน ผู้สมัคร สส.สกลนคร เขต 6
นายทรงศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้มีคนสนใจสมัครเป็นสมาชิกและผู้สมัคร สส.ของพรรคอย่างมาก ไม่เหมือนเมื่อก่อนเราหาคนสมัครยังต้องไปอ้อนวอน แต่ตอนนี้ปรากฏว่า ผู้สมัครมาอ้อนวอนพรรค โดยเฉพาะในหลายเขตมีผู้สนใจเกิน 2-3 คน ซึ่งพรรคจะต้องพิจารณาคัดเลือกผู้สมัครที่มีความนิยมสูงสุดอีกครั้ง
"พรรคภูมิใจไทยมั่นใจในนโยบายที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ...แม้จะอยู่เป็นรัฐบาลเพียง 4 เดือน แต่พรรคจะสามารถกลับมาเป็นรัฐบาลได้อีกครั้ง อย่างน้อยก็ต้อง 4 ปีอีกรอบนึง และมั่นใจว่าทุกนโยบายที่ออกมาเราอาจจะเป็นรัฐบาลตลอดกาลก็ได้" นายทรงศักดิ์ ระบุ
รายงานพิเศษ โดย...ทีมข่าวการเมือง หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4149