ศาลฎีกาฯ สั่งจำคุก 'วิฑูรย์ นามบุตร' 3 ปี คดีเรียกเงิน 30 ล้าน

01 พ.ย. 2568 | 12:10 น.
อัปเดตล่าสุด :01 พ.ย. 2568 | 12:13 น.

ศาลฎีกาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สั่งจำคุก 3 ปี 'วิฑูรย์ นามบุตร' คดีเรียกเงิน 30 ล้านแลกงานรับเหมา ศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ตามที่ยื่นคำร้องขอ

KEY

POINTS

  • ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุกนายวิฑูรย์ นามบุตร อดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ เป็นเวลา 3 ปี
  • มีความผิดฐานเรียกรับเงินเกือบ 30 ล้านบาทจากผู้เสียหาย เพื่อแลกกับการจัดสรรโควตาโครงการก่อสร้างของรัฐ ขณะดำรงตำแหน่ง ส.ส. และกรรมาธิการงบประมาณฯ
  • ศาลชี้ว่ามีความผิดตาม พ.ร.ป. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แต่ได้ยกฟ้องจำเลยร่วมอีก 4 รายในคดีนี้

1 พฤศจิกายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 23 ก.ค. 2568 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก 3 ปี นายวิฑูรย์ นามบุตร อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และอดีต ส.ส.อุบลราชธานี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) จำเลยที่ 1 ส่วนพวกอีก 4 รายยกฟ้อง

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ช่วงเดือน พ.ค.2556 จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่ง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และ กมธ.พิจารณาร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556 -57 ได้เรียกเงินจากนางสุขสมรวย วันทนียกุล ผู้เสียหาย 30 ล้านบาท เพื่อเป็นการตอบแทนจะมีโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคของหน่วยงานของรัฐ

มาลงที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทางภาคใต้และจำเลยที่ 1 มีโควตาของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทยและห้างหุ้นส่วนจำกัด ล.พานิชเขื่องในก่อสร้างของจำเลยที่ 1 ได้รับงานก่อสร้างในโครงการดังกล่าวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวนมาก

โดยจำเลยที่ 1 จะแบ่งงานโครงการก่อสร้างและให้ผู้เสียหายร่วมดำเนินการในโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคต่าง ๆ ที่จำเลยที่ 1 ได้รับโควตาจากทางราชการดังกล่าว เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 เเละ 2-5 ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด

โดยเป็นผู้รับเงินจากผู้เสียหายแทนจำเลยที่ 1 หลายครั้งตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2556 ถึงเดือนพฤษภาคม 2557 รวมเป็นเงิน 29,600,000 บาท อันเป็นการกระทำการการใด ๆ โดยทุจริตในลักษณะใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหาย

ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86, 149 พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2552 มาตรา 123/1 พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172, 192

จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ

พิเคราะห์พยานหลักฐานไต่สวนข้อเท็จจริงเห็นว่า สำหรับความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานหรือสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ เรียก รับ ทรัพย์สินหรือประโยชน์ ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 นั้น บุคคลที่จะมีความผิดตามมาตราดังกล่าว นอกจากจะต้องเป็นบุคคลตามตำแหน่งที่ระบุไว้และมีการกระทำเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบแล้ว ยังต้องมีเจตนาพิเศษเป็นองค์ประกอบในการกระทำความผิดด้วย คือ กระทำไปเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่

แต่ตามคำฟ้องได้ความเพียงว่า จำเลยที่ 1 เรียกเงินจากผู้เสียหาย โดยกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 1 มีโควต้างานก่อสร้าง และห้างหุ้นส่วนจำกัด ล.พานิชเขื่องในก่อสร้างของจำเลยที่ 1 ได้รับงานโครงการก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภคของหน่วยงานรัฐจำนวนมาก หากผู้เสียหายต้องการร่วมโครงการก่อสร้างต้องจ่ายเงินจำเลยที่ 1 จำนวน 30 ล้านบาท

แต่ไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 เรียกเงินจากผู้เสียหายเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่ของตนจึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดมาตราดังกล่าว

ส่วนความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือโดยทุจริต ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 นั้น

องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากเห็นว่า โจทก์มีนางสุขสมรวย วันทนียกุล ผู้เสียหาย เป็นพยานเบิกความว่า นายสมเดช แสวงสาย น้องเขยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนกับห้างหุ้นส่วนจำกัด ล.พานิชเขื่องในก่อสร้างของจำเลยที่ 1 และเรียกรับเงินโดยอ้างชื่อจำเลยที่ 1

ผู้เสียหายให้ถ้อยคำต่อ ป.ป.ช. ว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2556 จำเลยที่ 1 แจ้งว่าสามารถวิ่งเต้นผลักดันงบประมาณโครงการก่อสร้างของรัฐไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ได้ และเรียกเงิน 30 ล้านบาท

ผู้เสียหายได้จ่ายเงินจริงให้จำเลยที่ 1 หลายครั้ง2.96 ล้านบาท ผู้เสียหายยืนยันว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้เรียกรับเงินเอง และให้จ่ายตามวิธีที่จำเลยกำหนด รวม 20 ครั้ง ซึ่งสอดคล้องกับหลักฐานการจ่ายเงิน

ต่อมาผู้เสียหายให้ถ้อยคำอีกครั้ง ยืนยันข้อเท็จจริงเดิม โดยไม่พบว่าผู้เสียหายมีเหตุโกรธเคืองหรือเจตนาปรักปรำจำเลย เพราะเคยรู้จักและช่วยเหลือจำเลยทางการเมืองมาก่อน ศาลจึงเชื่อว่าผู้เสียหายให้ถ้อยคำตามความจริง

ส่วนที่ผู้เสียหายภายหลังอ้างในชั้นศาลว่านายสมเดชเป็นผู้เรียกรับเงินแทนจำเลยที่ 1 นั้น ศาลเห็นว่าเป็นการกล่าวภายหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเจรจาตกลงกันได้ และผู้เสียหายทำหนังสือถอนคำร้องทุกข์ไม่ติดใจดำเนินคดีแล้ว

ทั้งที่ผู้เสียหายเบิกความว่า ผู้เสียหายรู้จักนายสมเดชเป็นเวลากว่า 10 ปี หากนายสมเดชเป็นผู้เรียกรับเงินจากผู้เสียหายจริง ผู้เสียหายก็น่าจะให้ถ้อยคำต่อพนักงานไต่สวนตั้งแต่ในคราวแรกแล้ว เนื่องจากข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงสำคัญที่ผู้เสียหายย่อมรู้มาก่อนที่จะให้ถ้อยคำต่อพนักงานไต่สวน มิใช่เพิ่งมาเบิกความกล่าวอ้างในชั้นไต่สวนของศาล

คำเบิกความของผู้เสียหายยังมีลักษณะเป็นการบ่ายเบี่ยงข้อเท็จจริงเพื่อให้สมกับข้ออ้างตามคำให้การของจำเลยที่ 1 จึงเป็นพิรุธ ปราศจากความน่าเชื่อถือ น่าเชื่อว่าการที่ผู้เสียหายเบิกความกลับถ้อยคำเดิมของตนที่เคยให้ไว้ต่อพนักงานไต่สวนนั้น เป็นไปเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ให้ไม่ต้องรับโทษ ถ้อยคำเดิมของผู้เสียหายที่เคยให้ไว้ต่อพนักงานไต่สวน จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อว่าเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความชั้นศาล พยานหลักฐานมีน้ำหนักให้รับฟัง

ส่วนที่จำเลยที่ 1 ให้การว่าไม่เคยเรียกรับเงินจากผู้เสียหาย แต่เป็นนายสมเดช ที่เรียกรับเงินจากผู้เสียหายและแจ้งผู้เสียหายให้โอนเงินแก่นายสมเดชนั้น ก็เป็นข้อต่อสู้ที่เลื่อนลอย ปราศจากพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือมาสนับสนุน ทั้งเป็นข้อเท็จจริงที่ง่ายต่อการกล่าวอ้างแต่ยากแก่การรับฟัง เนื่องจากนายสมเดชถึงแก่ความตายไปแล้ว ไม่สามารถชี้แจงข้อเท็จจริงให้บุคคลอื่นรับรู้ได้

ข้ออ้างยังขัดต่อเหตุผล เนื่องจากลำพังนายสมเดชไม่น่าจะอยู่ในวิสัยที่จะอ้างชื่อจำเลยที่ 1 เองจนทำให้ผู้เสียหายเชื่อถึงขั้นยอมโอนเงินให้เป็นจำนวนสูงมากเช่นนี้ โดยที่จำเลยที่ 1 ไม่เคยติดต่อกับผู้เสียหาย ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้

ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เรียกเงินจากผู้เสียหาย30ล้านบาท โดยอ้าง สามารถวิ่งเต้นผลักดันจัดสรรงบประมาณโครงการก่อสร้างของหน่วยงานรัฐซึ่งอยู่ในอำนาจของจำเลยที่ 1 ได้ แล้ว จะแบ่งงานให้แก่ผู้เสียหาย

เป็นเหตุให้ผู้เสียหายจ่ายเงินเพื่อร่วมลงทุนและเป็นค่าใช้จ่ายรวมเป็นเงิน 29.6 ล้านบาท เป็นการหาประโยชน์ให้แก่ตนเองโดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ราชการไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม อันส่งผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน

จึงเป็นความผิดตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1

องค์คณะผู้พิพากษาเห็นว่า สำหรับความผิดฐานสนับสนุนจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ประกอบมาตรา 86

เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 จำเลยที่ 2-5 จึงไม่มีความผิดฐานสนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดฐานดังกล่าวด้วย

พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากให้ลงโทษจำคุก 3 ปี ข้อหาอื่นให้ยก และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 -5

ทั้งนี้ นายวิฑูรย์ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวและศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์