“อนุทิน”ประกาศแผนสร้างสะพานเชื่อมมหาสมุทรอินเดีย-แปซิฟิก

01 พ.ย. 2568 | 07:46 น.
อัปเดตล่าสุด :01 พ.ย. 2568 | 08:06 น.

สื่อจีนนำเสนอข่าวด่วน "อนุทิน"ประกาศแผนสร้างสะพานเชื่อมมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก ตั้งเป้าเข้าร่วมองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ในปี 2573

KEY

POINTS

  • นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศแผนสร้างสะพานทางบก (Land Bridge) เชื่อมระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก ในการประชุมเอเปค ที่ประเทศเกาหลีใต้
  • โครงการดังกล่าวเป็นหนึ่งในสามมาตรการเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาคและเปิดเส้นทางห่วงโซ่อุปทานใหม่
  • นอกจากการสร้างสะพานแล้ว รัฐบาลยังได้ประกาศเป้าหมายในการนำประเทศไทยเข้าร่วมองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ภายในปี พ.ศ. 2573

วันที่ 1 พฤษจิกายน 2568 พลโท ดร.ไชยสิทธิ์ ตันตยกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์และการป้องกันประเทศ ได้ประมวลและนำเสนอ สื่อของจีนนำเสนอข่าวด่วน! ว่า ไทยประกาศแผนสร้างสะพานเชื่อมมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก และตั้งเป้าเข้าร่วมองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ภายในปี พ.ศ. 2573

นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล แถลงต่อที่ประชุมสภาที่ปรึกษาธุรกิจเอเปค หรือ APEC Business Advisory Council (ABAC) ณ ศูนย์การประชุมนานาชาติ คยองจู ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2568 ว่า ไทยจะสร้างสะพานเชื่อมระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก และมีแผนเข้าร่วมองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ภายในปี พ.ศ.2573

 

โดยได้ประกาศแผนริเริ่มเชิงยุทธศาสตร์สำคัญ 3 ประการ จากการกล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อ “ศักยภาพของไทยในการส่งเสริมการค้า การลงทุน และการเชื่อมโยงในภูมิภาค” ซึ่งได้ระบุมาตรการเฉพาะ 3 ประการ เพื่อกระตุ้นศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทยไว้ดังนี้

ประการแรก เสริมสร้างความเชื่อมโยงระดับภูมิภาค โดยประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางเอเชีย ทำหน้าที่เป็น “สะพาน” เชื่อมโยงเอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และอาเซียน รัฐบาลไทยกำลังลงทุนในโครงการสะพานทางบกเชื่อมต่อมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งจะช่วยเปิดเส้นทางห่วงโซ่อุปทานใหม่ ๆ นอกจากนี้ ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการสร้างความมั่นใจว่าการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศและประชาชนจะผ่านระเบียงความมั่นคงเอเปคได้อย่างปลอดภัย

ประการที่สอง การลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ภายใต้กรอบนโยบาย “Quick Wins” ประเทศไทยจะส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า เซมิคอนดักเตอร์ เทคโนโลยีชีวภาพ และปัญญาประดิษฐ์ รวมถึงสนับสนุนผู้ประกอบการสตรีและสตาร์ทอัพผ่านโครงการเสริมสร้างศักยภาพและความช่วยเหลือทางการเงิน เพื่อให้มั่นใจว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะครอบคลุมและเท่าเทียมกัน

ประการที่สาม ส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตามเป้าหมายระบบเศรษฐกิจที่ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและความสมดุลของสิ่งแวดล้อมและวัฏจักรทางชีวภาพ ซึ่งประเทศไทยจะมีบทบาทนำในการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคมตลอดห่วงโซ่อุปทาน

โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงกระบวนการผลิตและการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ตลอดจนการลงทุนด้าน ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) และการเงินที่มีความรับผิดชอบ

โดยเฉพาะแรงจูงใจทางภาษีที่กำลังดึงดูดการลงทุน จากการที่ประเทศไทยกำลังเสนอแรงจูงใจทางภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในพลังงานสะอาด ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีมูลค่าสูง และ อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง “รัฐบาลเป็นผู้กำหนดทิศทาง แต่ภาคธุรกิจคือกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง” 

พร้อมทั้งการเน้นย้ำถึงความสำคัญอย่างยิ่งยวดของความร่วมมือกับสภาที่ปรึกษาธุรกิจเอเปค หรือ APEC Business Advisory Council (ABAC) ที่จะช่วยให้ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกสามารถสร้างความเชื่อมโยง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืน

ทั้งนี้ เมื่อเผชิญกับความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ นายกรัฐมนตรี อนุทินฯ เสนอว่า เอเปค (APEC) ควรเน้นใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ การรักษาตลาดให้เปิดกว้าง การส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืน และการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน

นอกจากนี้ ท่ามกลางกระแสลัทธิกีดกันทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้นและความตึงเครียดทางเศรษฐกิจที่ทวีความรุนแรงขึ้น เอเปคควรยึดมั่นในระบบพหุภาคีและกลไกการค้าเสรีที่อิงกฎเกณฑ์ เพื่อส่งเสริมความเชื่อมั่นทางธุรกิจและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

“เศรษฐกิจขนาดใหญ่มีบทบาทสำคัญในการบรรลุศักยภาพในการสร้างความไว้วางใจและส่งเสริมความร่วมมือ ไม่ใช่สร้างความแตกแยก” รวมทั้ง “เพื่อให้เอเปคมีประสิทธิภาพสูงสุด ควรสร้างสะพานแห่งความร่วมมือ ไม่ใช่กำแพงแห่งความแตกแยก เอเปคควรทำงานร่วมกันเพื่อเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นความก้าวหน้าร่วมกัน”

สำหรับเป้าหมายของไทยในการเข้าร่วม OECD ภายในปี พ.ศ.2573 กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก ปัจจุบันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังไม่มีประเทศใดเป็นสมาชิก OECD อย่างเป็นทางการ ซึ่งการเข้าร่วม OECD จะช่วยยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลและความโปร่งใสของไทย และเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศสมาชิกเอเปค 

โดยเอเปคจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมให้กับภูมิภาคสำหรับการพัฒนาในอนาคตด้วยการส่งเสริมการเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดิจิทัล และครอบคลุม ตามวิสัยทัศน์ปุตราจายา 2040 และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งต้องอาศัยการลงทุนในพลังงานสะอาด การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่น โดยได้รับการสนับสนุนจากระบบการเงินที่สอดคล้องกับหลัก ESG

(ข้อมูลจากเว็บไซต์  https://mp.weixin.qq.com/s/M6PinbosEbkjSMEyG4rXfw )