มติวุฒิสภา “นันทนา”ผิดจริยธรรม ด้อยค่าสว.แม่ค้าขายหมู ส่ง ป.ป.ช.

28 ต.ค. 2568 | 09:16 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ต.ค. 2568 | 10:46 น.

มติวุฒิสภาโหวต 130 ต่อ 26 เสียง ชี้ “นันทนา นันทวโรภาส” ผิดจริยธรรมร้ายแรง ด้อยค่า “ส.ว.แม่ค้าขายหมู” ส่งต่อ ป.ป.ช. ดำเนินการต่อ โทษรุนแรงตัดสิทธิการเมืองตลอดชีวิต

KEY

POINTS

  • วุฒิสภามีมติด้วยเสียงข้างมาก ว่า สว.นันทนา นันทวโรภาส มีพฤติกรรมฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
  • การกระทำผิดดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการใช้ถ้อยคำดูหมิ่นและด้อยค่าศักดิ์ศรีของเพื่อนสมาชิกวุฒิสภา กรณี "สว.แม่ค้าขายหมู"
  • ที่ประชุมวุฒิสภาจะส่งเรื่องต่อไปยัง ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป โดยมีโทษรุนแรงตัดสิทธิการเมืองตลอดชีวิต

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภา โดยมี นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณา รายงานผลการตรวจสอบข้อร้องเรียนด้านจริยธรรมของ นางสาวนันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา (สว.) 

รายงานดังกล่าวจัดทำโดย คณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภา ซึ่งมี พลเอกเกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง เป็นประธาน ได้พิจารณาแล้วเสร็จและเสนอต่อที่ประชุมให้พิจารณาในรายละเอียด โดยการพิจารณาเป็นไป “แบบลับ” ใช้เวลานานกว่า 5 ชั่วโมงเต็ม ก่อนเปิดประชุมต่อในช่วงบ่ายเพื่อดำเนินการลงมติ

ฝ่าฝืนจริยธรรมหลายมาตรา 

นายมงคล แถลงต่อที่ประชุมว่า เสียงข้างมากเห็นว่า น.ส.นันทนา ในฐานะผู้ถูกร้อง มีพฤติกรรมเข้าข่ายฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมของวุฒิสภาและกรรมาธิการ พ.ศ. 2563 หลายข้อ ได้แก่ ข้อ 14, 18, 24, 29 และ 31 

โดยสาระสำคัญคือ การวางตนไม่เป็นกลาง มีอคติต่อกลุ่มอาชีพ และแสดงถ้อยคำดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลอื่น ซึ่งรวมถึงกรณีที่มีการพูดถึง “สว.แม่ค้าขายหมู” จนถูกมองว่าเป็นการเสียดสี ดูแคลนเพื่อนสมาชิก และ ไม่ให้เกียรติสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น 

นอกจากนี้ คณะกรรมการยังเห็นว่า พฤติกรรมดังกล่าว เป็นการกระทำที่เสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งวุฒิสภา ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 4, มาตรา 27, มาตรา 34 และมาตรา 50 (3) และ (6) รวมถึงมาตรา 107 ที่บัญญัติให้สมาชิกต้องประพฤติปฏิบัติตนอย่างเหมาะสมสมกับเกียรติของตำแหน่ง

มติลับ 131 เสียงโหวตผิดจริยธรรม 

ภายหลังการอภิปรายเสร็จสิ้น ที่ประชุมได้ลงมติ โดยใช้วิธีลงคะแนนลับผ่านเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ผลปรากฏว่า 

เห็นว่าผิดจริยธรรม 131 เสียง

ไม่เห็นด้วย 25 เสียง

งดออกเสียง 13 เสียง  

อย่างไรก็ตาม มีสมาชิกบางรายทักท้วงว่า “การลงคะแนนลับ” อาจไม่เป็นไปตามข้อบังคับ เนื่องจากมีการแสดงผลคะแนนผ่านหน้าจอในห้องประชุม ทำให้ นายมงคล ในฐานะประธานสั่งพักประชุม 15 นาที เพื่อรีเซ็ตระบบลงคะแนนใหม่ 

มติรอบสอง130 เสียงฟัน“ผิดร้ายแรง”

เมื่อกลับมาประชุมอีกครั้ง นายมงคล แจ้งให้ที่ประชุม ลงมติใหม่สองประเด็น คือ  
เห็นชอบหรือไม่กับผลการรายงานตรวจสอบของคณะกรรมการจริยธรรม 

เห็นว่าเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม “อย่างร้ายแรง” หรือไม่
ผลการลงมติรอบสอง

เห็นชอบกับรายงานตรวจสอบ 130 เสียง ไม่เห็นชอบ 23 เสียง งดออกเสียง 11 เสียง  

เห็นว่าเป็นการฝ่าฝืนอย่างร้ายแรง 130 เสียง ไม่เห็นด้วย 26 เสียง งดออกเสียง 11 เสียง และมีผู้ไม่ลงคะแนน 2 เสียง

นายมงคล แถลงสรุปต่อที่ประชุมว่า “เสียงข้างมากเกินกว่า 3 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด หรือ 119 เสียงขึ้นไป ถือว่าเป็นมติของวุฒิสภาให้ส่งเรื่องดังกล่าวต่อไปยัง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป” 

เคสแรกของวุฒิสภาชุดปัจจุบัน 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การพิจารณากรณี น.ส.นันทนา ครั้งนี้ นับเป็นกรณีแรกของวุฒิสภาชุดปัจจุบัน ที่ที่ประชุมมีมติว่า “กระทำผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง” 

แหล่งข่าวในวุฒิสภาเปิดเผยว่า การใช้เวลาพิจารณานานกว่า 5 ชั่วโมง เนื่องจากเปิดโอกาสให้ น.ส.นันทนา ชี้แจงอย่างละเอียดต่อที่ประชุม รวมถึงให้ฝ่ายผู้ร้องและคณะกรรมการชี้แจงประเด็นตามข้อกล่าวหา 

ทั้งนี้ มีเสียงทักท้วงบางส่วนเสนอให้ “ชะลอการลงมติ” เนื่องจากเรื่องดังกล่าวยังอยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาของศาลในคดีที่เกี่ยวข้อง แต่เสียงส่วนใหญ่ของวุฒิสภา เห็นว่า เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการจริยธรรมและที่ประชุมวุฒิสภา ซึ่งสามารถพิจารณาได้โดยไม่ต้องรอผลทางคดี

โทษตัดสิทธิการเมืองตลอดชีวิต

กรณีของ นางสาวนันทนา นันทวโรภาส หาก ป.ป.ช.สรุปสำนวนคดี แล้วมีมติให้ส่งฟ้องเอาผิด ต้องส่งฟ้องไปที่ศาลฎีกา

เบื้องต้น หากศาลฎีการับคำร้องไว้พิจารณา บุคคลที่เป็น สส.อยู่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน  

และในที่สุด หากศาลฎีกามีคำพิพากษาว่า ผู้ถูกกล่าวหามีพฤติการณ์ หรือกระทำความผิดตามที่ถูกกล่าว ให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต และ เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่เกิน 10 ปี และ ไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ

ด้าน นางสาวนันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเรื่องจริยธรรมอำพรางในวุฒิสภา หลังที่ประชุมมีมติเสียงข้างมาก พิจารณาว่าผิดจริยธรรมร้ายแรงพร้อมส่งเรื่องต่อให้ ป.ป.ช. ว่า การประชุมวุฒิสภาเป็นมติอัปยศ สะท้อนชัดเจนว่า วุฒิสภาแห่งนี้มีเจ้าของสั่งการได้ ไม่ว่าต้องการอะไร จะสามารถกดปุ่ม และให้เดินหน้าไปตามนั้นได้ สิ่งที่ตนเองถูกกระทำ คือการเรียกร้องให้การจัดกรรมาธิการ เป็นไปตามกลุ่มอาชีพ และความถนัด แต่กลับถูกลงมติให้ผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง นี่คือการสมคบคิดกันมาตั้งแต่ต้น ผู้ที่มาร้องนั้น เป็นทนาย ซึ่งรับจ้างมาร้อง และเมื่อมีการยื่นเรื่อง ก็มีการรับเข้ามาตรวจสอบอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็มาถึงวันกดปุ่มในสภา 130 เสียง ให้ตนเองผิดจริยธรรม รับไป ป.ป.ช. นี่คือความอัปลักษณ์ของสิ่งที่เรากำลังจะพบในการเมืองไทย นี่คือสิ่งที่ตนเองจะต่อสู้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นตนเองจะไม่แตกสลาย จะยืนหยัดเป็นปากเป็นเสียงให้กับประชาชน และจะต่อสู้ให้การกินรวบในประเทศนี้ ทำไม่ได้ ไม่ว่าจะการกินรวบวุฒิสภา องค์กรอิสระ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ จะต่อสู้จนถึงที่สุด และพวกเราฝ่ายอิสระทุกคน จะต่อสู้ให้กับประชาชน เราจะไม่แตกสลาย

การลงมติวันนี้เป็นไปตามที่ สส. ท่านหนึ่งได้โพสต์ในเฟสบุ๊คบอกว่าคนที่พัวพันคดีฮั้ว สว. มาตัดสินจริยธรรมคนที่เปิดโปง นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ไม่ว่าอะไรที่เกิดขึ้นในกรรมการจริยธรรม ตนเองไม่เคยได้รับรู้ และไม่เคยได้เข้าไปชี้แจงใด ๆ ทั้งสิ้น แม้แต่คนที่นั่งฟังอยู่ตรงนี้ ก็ฟังสิ่งที่ที่มันไม่ถูกต้อง เอกสารก็บิดเบือน ข้อเท็จจริงไม่ถูกต้อง นำมาอ่านแล้วลงมติ นี่คือวุฒิสภาหรือ?

“คำกล่าวเพียงว่าคนขายหมูเข้าไปกรรมาธิการพัฒนาการเมือง มันปิดฝาผิดตัว ทำไมถึงจะต้องผิดจริยธรรมขั้นร้ายแรง นี่คือวุฒิสภาที่มีเจ้าของ และสั่งได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ใบสั่งมา ทุกอย่างจะเป็นไปตามนั้น” นางนันทนา กล่าว

นางนันทนา กล่าวอีกว่า พวกเราอยู่ในสภาแห่งนี้ด้วยการถูกกดขี่ ข่มเหง กรรมาธิการวิสามัญในการพิจารณากฎหมาย พวกเราไม่ได้เป็น บาง กมธ. 1 คน เป็นเกือบ 20 คณะ การที่ตนเองถูกตัดสินว่าผิดจริยธรรมร้ายแรง จะส่งผลไปยัง สว. คนอื่น เป็นการปิดปาก นี่คือการใช้นิติสงครามในการเล่นงานคนที่เห็นต่าง ออกมาต่อต้าน หรือออกมาต่อสู้ให้เกิดความยุติธรรมให้แผ่นดินนี้

“ขอฝากว่า สว. นันทนา ยังจะต่อสู้ต่อไป จะต่อสู้ให้กับพี่น้องประชาชน และจะไม่สยบยอมกับสีน้ำเงิน จะไม่ยอมให้สีน้ำเงินมากินรวบประเทศไทย ดิฉันจะสู้ และจะไม่ถอย เราจะปล่อยให้ประเทศเป็นเช่นนี้ต่อไปหรือ นี่คือหายนะประเทศไทย” นางนันทนา กล่าว

เมื่อถามว่า หากเรื่องเข้า ป.ป.ช. จะรู้สึกว่าได้รับความเป็นธรรมกว่าหรือไม่ นางนันทนา ระบุว่า หวังว่ากระบวนการใน ป.ป.ช. เป็นกระบวนการที่โปร่งใส ชัดเจน เปิดโอกาสให้มีการนำเสนอข้อมูลหลักฐานอย่างตรงไปตรงมา และยังเชื่อในความเป็นธรรม การนำเรื่องที่พูดคำว่าคนขายหมู ส่งไปใน ป.ป.ช. มันจะเป็นเรื่องน่าขำขันหรือไม่ แต่ สว. ที่มีคดียาเสพติดหรือคดีฆาตกรรม กลับลงมติว่าไม่ผิดจริยธรรม พร้อมตั้งคำถามว่าเรื่องนี้ยังไม่จบในชั้นศาล โดยจะมีการชี้มูลในวันที่ 10 พ.ย. นี้ จึงเกิดคำถามว่าทำไมที่ประชุมถึงไม่รอให้คดีจบก่อน แล้วค่อยพิจารณา ส่วนระยะเวลาในการพิจารณาในชั้น ป.ป.ช. ตนเองคาดการณ์ไม่ได้ และไม่แน่ใจว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่