สว.สำรองฟ้องประธาน กกต.กับพวก 8 คน ปมยื้อคดีฮั้วเลือก สว.

16 ต.ค. 2568 | 05:30 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ต.ค. 2568 | 05:38 น.

สว.สำรอง ยื่นฟ้องประธาน กกต.-พวกรวม 8 ราย ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ คดีฮั้ว สว. ล่าช้าเกิน 1 ปี เป็นเหตุให้ สว.สำรองเสียสิทธิ ด้านศาลนัดพิจารณารับฟ้อง 3 พ.ย.นี้

KEY

POINTS

  • กลุ่ม สว.สำรอง และอดีตผู้สมัคร สว. ยื่นฟ้องประธาน กกต. กับพวกรวม 8 คน ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157
  • กล่าวหาว่า กกต. จงใจยื้อเวลาในการดำเนินคดีถอดถอน สว. 138 คน กรณี "ฮั้วเลือก สว." โดยไม่ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ แม้เวลาจะล่วงเลย
  • ศาลอาญาคดีทุจริตฯ รับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำที่ อท.182/2568 และนัดฟังคำสั่งว่าจะรับไว้ไต่สวนหรือไม่ ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 เวลา 09.30 น.

วันที่ 16 ตุลาคม 2568 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นายวิเชียร ศรีสุด ประธานชมรมสภาเที่ยงธรรม หรือ “ภาคีเครือข่ายเพื่อการปฏิรูปสถาบันนิติบัญญัติ” (ภปน.) พร้อมด้วย พ.ต.อ.สมพล เรืองเกตุพันธุ์ สมาชิก สว.สำรอง และอดีตผู้สมัคร สว.ที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย รวม 2 คน เดินทางเข้ายื่นฟ้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยมี นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. กับพวก รวม 8 คน เป็นจำเลย ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

คดีดังกล่าวสืบเนื่องจากเมื่อเดือนกันยายน ที่ผ่านมา นายวิเชียรในฐานะประธานสภาเที่ยงธรรม ได้รับร้องเรียนจากกลุ่ม สว.สำรองและอดีตผู้สมัคร สว. ว่า กกต.ได้ทำสำนวนคดีถอดถอน สว.จำนวน 138 คน จากกรณีร้องเรียน “ฮั้วเลือก สว.” เป็นเวลานานกว่า 1 ปี แต่ยังไม่ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ตามที่กฎหมายกำหนด

โจทก์ระบุว่า ประธาน กกต. และคณะ รวมถึงเลขาธิการ กกต. ไม่ได้กำกับ เร่งรัด หรือควบคุมการทำงานของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ทำให้สำนวนล่าช้าโดยไม่มีเหตุผลสมควร ส่งผลให้ สว.สำรองไม่สามารถขึ้นดำรงตำแหน่งแทนผู้ที่อาจถูกถอดถอนตามกฎหมายได้ 

อีกทั้ง ยังทำให้กระบวนการเลือกตั้ง สว.ใหม่ไม่อาจเกิดขึ้น หากจำนวน สว.ที่เหลืออยู่ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ตามบทบัญญัติของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 มาตรา 45 และมาตรา 62 

พ.ต.อ.สมพล เรืองเกตุพันธุ์ ในฐานะทนายความประจำชมรมสภาเที่ยงธรรม เปิดเผยว่า สภาเที่ยงธรรมได้มอบหมายให้ตนดำเนินการฟ้อง กกต.ทั้ง 8 คน เนื่องจากเห็นว่า มีพฤติการณ์เข้าข่าย “ยื้อเวลา” ในการดำเนินคดีฮั้ว สว. โดยตามหลักแล้ว กกต.ควรเร่งรัดสืบสวนสอบสวนตั้งแต่วันที่ประกาศผลเลือกตั้ง สว. เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 และควรใช้เวลาประมาณ 1 ปี จึงจะแล้วเสร็จ

อย่างไรก็ตาม คดีดังกล่าวกลับล่วงเลยเวลามาเกินกว่า 3 เดือนโดยไม่มีความคืบหน้า ทั้งที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ดำเนินการสืบสวนเสร็จสิ้น และส่งสำนวนให้ กกต.แล้ว โดยกฎหมายกำหนดให้ กกต.ต้องพิจารณาภายใน 60 วัน เพื่อส่งต่อศาลฎีกาฯ แต่กลับพบว่า กกต.ได้ตั้งคณะกรรมการและเกณฑ์ใหม่ภายในองค์กร ทำให้ขั้นตอนซับซ้อนและยืดเยื้อออกไปอีกกว่า 8 เดือน 

“สิ่งที่เราเห็นคือ การยื้อเวลาโดยไม่จำเป็น เพราะสำนวนของดีเอสไอครบถ้วนแล้ว แต่ กกต.กลับเพิ่มขั้นตอนใหม่ จึงถือว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิทธิของ สว.สำรองโดยตรง” พ.ต.อ.สมพล กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ได้รับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำที่ อท.182/2568 และนัดฟังคำสั่งในชั้นตรวจคำฟ้องว่าจะรับไว้ไต่สวนหรือไม่ ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 เวลา 09.30 น.