KEY
POINTS
เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน ได้มีมติ “เห็นชอบบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงกระทรวงมหาดไทย” รวม 45 ตำแหน่ง ครอบคลุมทั้งระดับ รองปลัดกระทรวง-อธิบดี-ผู้ว่าราชการจังหวัด-ผู้ตรวจราชการกระทรวง
เป็นการ “จัดทัพข้าราชการ” ครั้งใหญ่ที่สุดของกระทรวงมหาดไทยในรอบหลายปี ภายใต้ยุคที่ “คนการเมือง” ครองอำนาจเต็มในมหาดไทย โดย นายอนุทิน ได้วางแนวทาง “คืนความยุติธรรม-ใช้คนให้ถูกงาน” และส่งสัญญาณล้างบาดแผลในระบบราชการจากการโยกย้ายยุคก่อนหน้า ซึ่งหลายรายถูกระบุว่า “มีสีทางการเมือง” หรือ “ถูกกลั่นแกล้งเพราะใกล้ชิดบ้านใหญ่”
การแต่งตั้งครั้งนี้ถูกจับตาอย่างใกล้ชิดจากทั้งในระบบราชการและการเมือง เพราะข้าราชการระดับสูงมหาดไทย โดยเฉพาะ “ผู้ว่าราชการจังหวัด-อธิบดี-ผู้ตรวจราชการ” ถือเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงนโยบายของรัฐบาลกับท้องถิ่น ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อการบริหารพื้นที่ และต่อยอดในทางการเมืองสู่การเลือกตั้งระดับชาติ
หลายคนมองว่า โผรอบนี้คือ “โครงสร้างสนับสนุนภูมิใจไทย” ที่วางรากฐานระดับพื้นที่รอศึกเลือกตั้งใหญ่ปี 2569 หลังจากพรรคภูมิใจไทย ยึดครองกระทรวงมหาดไทย และสานสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับ “บ้านใหญ่-ผู้บริหารท้องถิ่น-อบจ.-อบต.”
ตั้ง 3 รองปลัด-5 อธิบดี
ระดับ “แม่ทัพใหญ่” ของมหาดไทย นายอนุทิน ขยับข้าราชการขึ้นรับผิดชอบ โดยแต่งตั้ง
นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม, นายโชตินรินทร์ เกิดสม และ นายภาสกร บุญญลักษม์ ขึ้นเป็น รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ทั้งสามคนเป็นอดีตผู้ว่าฯ พื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ ที่มีผลงานเด่นด้านความมั่นคงและพัฒนาเชิงพื้นที่
นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ ผงาดขึ้น อธิบดีกรมการปกครอง หลังผ่านงานด้านบริหารพื้นที่ และเคยเป็นโฆษก มท. ถูกมองว่า เป็น “ข้าราชการวิชาการแต่เข้าใจการเมือง”
นายพรพจน์ เพ็ญพาส ได้กลับมานั่ง อธิบดีกรมที่ดิน อีกครั้ง ถือเป็น “การคัมแบ็ก” หลังเคยถูกโยกในยุคก่อนหน้า
นายสยาม ศิริมงคล อดีต ผวจ.สมุทรปราการ นั่ง อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน
นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ คุม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
นายธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล ขึ้น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ท้องถิ่นของภูมิใจไทย
ทั้งหมดนี้ถูกมองว่าเป็น “ทีมมืออาชีพแต่ใจบ้านใหญ่” ซึ่งสะท้อนยุทธศาสตร์ “มหาดไทย” ของ นายอนุทิน อย่างชัดเจน
ตั้ง 30 ผู้ว่าราชการจังหวัด
ระดับจังหวัด คือ หัวใจของการเมืองคุมท้องถิ่น โผรอบนี้ “สะท้อนการจัดสมดุลระหว่างภาคเหนือ-อีสาน-ใต้-กลาง” และแทรกตัวผู้ว่าฯ ที่มีความสัมพันธ์ดีกับ “สส.ภูมิใจไทย-กลุ่มบ้านใหญ่” ในพื้นที่เป้าหมายเลือกตั้งปี 2569
ภาคอีสาน : ถูกมองว่าเป็นฐานใหญ่ของภูมิใจไทย
นายชูศักดิ์ รู้ยิ่ง จากสกลนคร นั่ง ผู้ว่าฯ กาฬสินธุ์
นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี จากฉะเชิงเทรา เป็นผู้ว่าฯขอนแก่น
นายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ย้ายจากศรีสะเกษ ไปเป็นผู้ว่าฯนครราชสีมา
นายอนุรัตน์ ธรรมประจำจิต จากอำนาจเจริญ มาเป็นผู้ว่าฯ ศรีสะเกษ
นางรณิดา เหลืองฐิติสกุล ขึ้น ผู้ว่าฯ สกลนคร
นายศรัณย์ศักดิ์ ศรีเครือเนตร ไปเป็นผู้ว่าฯ หนองคาย
นายสุรศักดิ์ อักษรกุล จากอธิบดีพัฒนาชุมชน โยกเป็นผู้ว่าฯ หนองบัวลำภู
สะท้อนการวางคนรู้พื้นที่-เชื่อมโยงนักการเมืองท้องถิ่นตรงจุด
ภาคใต้ : ฐานคะแนนของภูมิใจไทย และ พลังของบ้านใหญ่ตระกูลการเมือง
นายรัฐศาสตร์ ชิดชู จากพัทลุง โยกนั่งผู้ว่าฯ สงขลา
นายจุมพฏ วรรณฉัตรสิริ จากรองปลัดฯ ไปเป็นผู้ว่าฯ สุราษฎร์ธานี
นายโชตินรินทร์ เกิดสม จากผู้ว่าฯ สงขลา ขึ้น เป็นรองปลัดฯ
ทั้งหมดถือเป็น “เครือข่ายมือประสานท้องถิ่น-สส.ใต้” ที่ภูมิใจไทยพยายามเสริมแรงไว้
ภาคเหนือ-กลาง :
นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าฯ เชียงราย โยกเป็นผู้ว่าฯ เชียงใหม่
นายพิริยะ ฉันทดิลก จากพ่อเมืองสุพรรณบุรี ไปคุมจังหวัดตราด
น.ส.ชุติพร เสชัง จากแม่ฮ่องสอน มาเป็นผู้ว่าฯ นครสวรรค์
นายเชษฐา โมสิกรัตน์ จากกรม ปภ. ไปเป็นผู้ว่าฯ นนทบุรี
นายเกียรติศักดิ์ ตรงศิริ จากผู้ว่าฯ นนทบุรี ไปเป็นผู้ว่าฯ พิษณุโลก
นายณัฐพงษ์ สงวนจิตร จากตราด ไปเป็นผู้ว่าฯ สุพรรณบุรี
นายสันติ รังษิรุจิ จากฉะเชิงเทรา ไปเป็นผู้ว่าฯ อุตรดิตถ์
นายสมบัติ ไตรศักดิ์ จากสิงห์บุรี ไปเป็นผู้ว่าฯ อุทัยธานี
โครงสร้างใหม่ถูกออกแบบให้ “ต่อท่อการเมืองกับเศรษฐกิจจังหวัด” โดยเฉพาะหัวเมืองอุตสาหกรรมและท่องเที่ยว
โยกย้าย มท.-แต้มต่อเลือกตั้ง
การโยกย้ายข้าราชการระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย รอบล่าสุดนี้ ถือเป็นสัญญาณสำคัญของการ “จัดทัพอำนาจ” ก่อนเกมเลือกตั้งใหญ่ปี 2569 ภายใต้รัฐบาลพรรคภูมิใจไทย โดยมี นายอนุทิน หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกฯและรมว.มหาดไทย
การแต่งตั้งผู้ว่าฯ ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ “หมุนเวียนตำแหน่งตามวาระ” แต่สะท้อน “การวางคนของเราไว้ในพื้นที่ยุทธศาสตร์” โดยเฉพาะจังหวัดที่มีศักยภาพเป็นเขตเลือกตั้งสำคัญ เคยเป็นฐานเสียงของภูมิใจไทย หรือ พันธมิตรบ้านใหญ่ และ มีความเสี่ยงต่อการสูญเสียพื้นที่ให้พรรคประชาชน และ เพื่อไทย
แม้โดยหลักแล้วผู้ว่าฯ ต้องวางตัวเป็นกลางทางการเมือง แต่ในเชิงปฏิบัติ “ผู้ว่าฯ คือหัวจักรกลของการบริหารพื้นที่” ตั้งแต่การอนุมัติงบประมาณจังหวัด, การคัดเลือกโครงการประชารัฐ, การดูแลความเรียบร้อยในช่วงเลือกตั้ง และการประสานงานกับผู้นำท้องถิ่น
เมื่อคนของ “ภูมิใจไทย” เข้ามานั่งในตำแหน่งผู้ว่าฯ มากขึ้น ย่อมทำให้พรรคมี “เครื่องมือทางอำนาจ” ที่เหนือกว่าคู่แข่งในพื้นที่ เช่น การเข้าถึงข้อมูลประชากรระดับหมู่บ้าน, การคุมเครือข่ายกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน-อบจ.-อบต., การจัดสรรงบจังหวัดแบบ “โครงการตอบโจทย์ประชาชน” ที่ตรงกับนโยบายพรรค
ฐาน “บ้านใหญ่ภูมิใจไทย” เดิมคือเครือข่ายการเมืองท้องถิ่นที่เชื่อมกับนักธุรกิจ แต่รอบนี้มีข้าราชการระดับจังหวัด เข้ามาเสริมพลัง โดยเฉพาะในจังหวัดที่บ้านใหญ่ มีอิทธิพลต่อการจัดสรรงบและโครงการของกระทรวงมหาดไทย
การจับมือ “ผู้ว่าฯ -อบจ.-บ้านใหญ่” จึงเท่ากับรวมศูนย์การตัดสินใจของทรัพยากรในจังหวัดไว้ที่กลุ่มเดียว เป็นการวางรากฐาน “เครือข่ายอำนาจ” ซึ่งอาจกลายเป็นกลไกสำคัญในการระดมเสียงช่วงเลือกตั้ง
แม้ กกต. จะเป็นผู้จัดการเลือกตั้ง แต่ผู้ว่าฯ มีบทบาทในด้านความเรียบร้อย และการประสานงานระหว่างราชการกับท้องถิ่น ซึ่งสามารถ “ลดแรงเสียดทาน” ให้กับพรรคของรัฐบาลในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม การโยกย้ายที่ถูกมองว่า “มีใบสั่งทางการเมือง” ก็อาจสร้างแรงเสียดทานจากภายในกระทรวงมหาดไทยเอง และเสี่ยงถูกฝ่ายค้านใช้เป็นประเด็นอภิปรายว่า “ใช้อำนาจแทรกแซงระบบราชการ”
ข้าราชการบางส่วนก็อาจไม่พอใจว่า “ถูกเลือกเพราะไม่ใช่สายพรรค” ซึ่งหากบริหารไม่ดี อาจกลายเป็นชนวนความขัดแย้งภายในระบบราชการในอนาคต
การโยกย้ายครั้งนี้คือ การจัดทัพอำนาจมหาดไทยใหม่ ที่ทำให้ “พรรคภูมิใจไทย” ได้เปรียบในเชิงโครงสร้างราชการและเครือข่ายท้องถิ่น
เป็นการเตรียม “เลือกตั้งล่วงหน้า” อย่างเงียบๆ เพื่อรองรับการ “ยุบสภา” ที่จะเกิดขึ้นไม่เกินวันที่ 31 มกราคม 2569 และ เลือกตั้งภายในวันที่ 29 มีนาคม 2569 ....
เป้าหมายใหญ่คือ พรรคภูมิใจไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และ อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 อีกสมัย...
รายงานพิเศษ โดย..ทีมข่าวการเมือง หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4140