ถอดรหัส บอร์ดบริหาร 'พรรคไทยก้าวใหม่' ใครเป็นใครในทีม ดร.เอ้

พรรคไทยก้าวใหม่ ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2568 ณ ทรู ดิจิทัล พาร์ค กรุงเทพฯ ซึ่งการเลือกสถานที่เปิดตัวในศูนย์กลางนวัตกรรมดิจิทัลนี้เอง เป็นการตอกย้ำถึงทิศทางที่ชัดเจนของพรรคที่มุ่งเน้นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภายใต้สโลแกนที่ประกาศความมุ่งมั่นว่า "พรรคไทยก้าวใหม่ ก้าวใหม่ ให้ไทยสตรอง"  

วัตถุประสงค์หลักของการก่อตั้งพรรคคือการขับเคลื่อนประเทศไทยให้หลุดพ้นจากภาวะสิ้นหวังและหลุมดำทางเศรษฐกิจ โดยมุ่งเป้าไปที่การสร้างคนและการปฏิรูปโครงสร้างประเทศ

คณะกรรมการบริหารชุดแรกที่เปิดตัวประกอบด้วยบุคลากรผู้เชี่ยวชาญรวม 15 คน ซึ่งเป็นการรวมตัวของผู้มีประสบการณ์สูงในหลายสาขา ตั้งแต่ภาควิชาการ ภาคธุรกิจระดับอาเซียน หน่วยงานด้านเศรษฐกิจพิเศษ และการบังคับใช้กฎหมาย  

พรรคไทยก้าวใหม่ชูนโยบายหลักที่เปรียบเสมือน “ธนู 4 ดอก” เพื่อนำการปฏิรูปประเทศให้ “สตรอง” นโยบายเหล่านี้ครอบคลุมการสร้างคนใหม่, การพลิกโฉมการศึกษาไทย, การก้าวล้ำด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, และการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน  

แกนกลางของนโยบายทั้งหมดคือความเชื่อที่ว่า "การศึกษา" คือกุญแจสำคัญและเป็น "อาวุธที่มีอานุภาพสูงสุด" ที่จะฟื้นฟูประเทศไทยและพาคนไทยพ้นจากความยากจน พรรคยืนยันว่าทุกชาติที่พัฒนาแล้วในโลกล้วนยกระดับคนจากความยากจนสู่ความมั่งคั่งด้วยการสร้างคนผ่านการศึกษา

ดังนั้น การศึกษาจึงถูกวางเป็นธงนำในการพัฒนาเศรษฐกิจและอนาคตของชาติ 

การเปิดตัวของพรรคไทยก้าวใหม่และการประกาศความพร้อมในการส่งผู้สมัคร สส. ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกาศให้หัวหน้าพรรคเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและ สส. บัญชีรายชื่อลำดับที่หนึ่ง เกิดขึ้นในจังหวะเวลาที่มีนัยสำคัญทางการเมือง  

การตัดสินใจของผู้ก่อตั้งหลักอย่างศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ และ ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ที่ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ และมาจัดตั้งพรรคใหม่ในช่วงเวลาที่พรรคเดิมกำลังประสบปัญหาเสถียรภาพภายใน เป็นการส่งสัญญาณเชิงกลยุทธ์

การเคลื่อนไหวนี้แสดงให้เห็นถึงเป้าหมายที่จะเข้าครอบครองพื้นที่ทางการเมืองสายกลาง ที่เน้นหลักการและประสบการณ์เชิงสถาบัน การจัดตั้งพรรคไทยก้าวใหม่ในเวลานี้จึงเป็นการสร้างทางเลือกใหม่ให้กับผู้ลงคะแนนที่ต้องการผู้นำที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง (technocrat) แต่ไม่ต้องการความขัดแย้งทางการเมืองแบบเดิม

สองเสาหลัก: ผสานปัญญาและความเก๋าเกม

คณะกรรมการบริหารของไทยก้าวใหม่ถูกขับเคลื่อนด้วยบุคลากรหลักสองท่านที่เชื่อมโยงระหว่างโลกวิชาการและโลกการเมืองเชิงปฏิบัติการ ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือในด้านการบริหารจัดการและนโยบาย

ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หัวหน้าพรรค

ดร.เอ้-สุชัชวีร์ เป็นที่รู้จักในฐานะนักวิชาการ วิศวกร และนักบริหารผู้ทรงอิทธิพลในแวดวงการศึกษาไทย มีประวัติการทำงานที่โดดเด่นในฐานะอดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) อดีตนายกสภาวิศวกร อดีตประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) และอดีตประธานกรรมการการเคหะแห่งชาติ

เส้นทางวิชาชีพที่เน้นการแก้ปัญหาทางเทคนิคและการบริหารสถาบันขนาดใหญ่นี้ ทำให้ท่านเป็นบุคคลที่มุ่งเน้นผลลัพธ์และการพัฒนาอย่างมีโครงสร้าง

ก่อนหน้าการก่อตั้งพรรคไทยก้าวใหม่ ดร.สุชัชวีร์เคยเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ดูแลพื้นที่กรุงเทพมหานคร การตัดสินใจลาออกจากพรรคใหญ่มาตั้งพรรคเองถูกอธิบายว่าไม่ได้มาจากความขัดแย้งส่วนตัว แต่เกิดจากความมุ่งมั่นทางอุดมการณ์ที่ต้องการผลักดันแนวคิด "การศึกษานำการพัฒนา" อย่างเร่งด่วน

เป็นการส่งสารโดยตรงว่ากลไกทางการเมืองแบบเดิมไม่เพียงพอที่จะบรรลุวิสัยทัศน์ในการเปลี่ยนแปลงประเทศอย่างแท้จริง พรรคไทยก้าวใหม่จึงถูกสร้างขึ้นในฐานะพาหนะที่มุ่งเน้นภารกิจ (mission-driven) เพื่อการปฏิรูปโครงสร้างอย่างเร่งด่วน   

ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช: ประธานพรรค

"คุณหญิงกัลยา" ผู้ดำรงตำแหน่งประธานพรรค เป็นผู้ที่นำประสบการณ์และความน่าเชื่อถือเชิงสถาบันมาสู่พรรคใหม่ทันที ด้วยประวัติการทำงานที่ยาวนานในแวดวงการเมือง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ประสบการณ์เหล่านี้สอดคล้องโดยตรงกับเสาหลักด้านนโยบายของพรรคที่เน้นวิทยาศาสตร์และการศึกษา  

การตัดสินใจลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์อย่างเป็นทางการเพื่อเข้าร่วมกับพรรคไทยก้าวใหม่ แสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนทางอุดมการณ์ที่แข็งแกร่งต่อการเคลื่อนไหวใหม่นี้ บทบาทของท่านในฐานะประธานพรรคถูกมองว่าเป็นกลยุทธ์ที่เสริมสร้างเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือทางการเมือง โดยทำหน้าที่เป็นเสาหลักที่ผสานความเก๋าเกมในการบริหารราชการแผ่นดิน เข้ากับวิสัยทัศน์ที่ก้าวหน้าของหัวหน้าพรรค

สถาปนิกปฏิบัติการ: กลไกเศรษฐกิจและเทคโนโลยี

เพื่อทำให้วิสัยทัศน์เชิงวิชาการกลายเป็นนโยบายที่นำไปปฏิบัติได้จริง พรรคไทยก้าวใหม่ได้จัดสรรบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางสูงในตำแหน่งสำคัญ โดยเฉพาะในด้านการนำนโยบายไปสู่ภาคปฏิบัติ เศรษฐกิจ และกลยุทธ์องค์กร

นายวราวิช กำภู ณ อยุธยา รองหัวหน้าพรรค

วราวิช กำภู ณ อยุธยา ศิษย์รุ่นพี่ที่พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังของ ดร.เอ้ ได้รับมอบหมายให้เป็น "หัวเรือใหญ่ในการนำนโยบายของพรรคไปสู่ภาคปฏิบัติ" ซึ่งสอดคล้องกับความเชี่ยวชาญโดดเด่นด้านเทคโนโลยีและการศึกษา บทบาทนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นส่วนที่เชื่อมโยงระหว่างทฤษฎีการปฏิรูปการศึกษาในระดับสูง เข้ากับความเป็นจริงของการปฏิบัติในระบบราชการ

ประสบการณ์เดิมของนายวราวิชในฐานะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทำให้มีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในรายละเอียดปลีกย่อยของกระทรวงที่พรรคต้องการจะปฏิรูป 

ดร.คเณศ วังส์ไพจิตร รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ

ดร.คเณศ รับตำแหน่งหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ บทบาทที่สำคัญที่สุดคือการ "ขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจใหม่ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี" ดร.คเณศมาจากตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยรับผิดชอบด้านเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd)  

ประสบการณ์ของ ดร.คเณศในการดึงดูดการลงทุนด้านดิจิทัลจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ สะท้อนให้เห็นว่าพรรคไทยก้าวใหม่มีปรัชญาทางเศรษฐกิจที่แตกต่างออกไป การเลือกผู้เชี่ยวชาญจาก EEC ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นนวัตกรรมอย่างเจาะจง มาเป็นผู้นำทีมเศรษฐกิจ บ่งชี้ว่าพรรคมองว่านโยบายเศรษฐกิจมหภาคแบบดั้งเดิมนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป แต่ต้องเน้นการลงทุนในเทคโนโลยีชั้นสูงและนวัตกรรมเพื่อสร้างเศรษฐกิจใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย "มันสมองมากกว่าแรงงาน" ซึ่งเป็นการขยายโมเดลความสำเร็จของ EEC ไปสู่ระดับประเทศ  

นายก้องเกียรติ กรสูต: เลขาธิการพรรค

นายก้องเกียรติ กรสูต เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและมีอุดมการณ์ร่วมกับหัวหน้าพรรค มีประสบการณ์การทำงานในบริษัทเอกชนระดับอาเซียนมานานกว่า 20 ปี และเคยอยู่เบื้องหลังการวางแผนกลยุทธ์ด้านการตลาดและการสื่อสารให้กับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน

บทบาทของเลขาธิการพรรคมีความสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารจัดการภายในและการสื่อสารภายนอก การนำผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์และการสื่อสารจากภาคเอกชนที่มีประสบการณ์ระดับภูมิภาคเข้ามาบริหารจัดการพรรค เป็นการส่งสัญญาณถึงความตั้งใจที่จะดำเนินงานทางการเมืองด้วยประสิทธิภาพและความมุ่งมั่นเชิงเป้าหมายแบบองค์กรขนาดใหญ่ระดับอาเซียน สิ่งนี้ช่วยลดความเสี่ยงที่พรรคซึ่งมีบุคลากรหนักไปทางวิชาการ อาจประสบปัญหาด้านการจัดการองค์กรและการนำเสนอวิสัยทัศน์ต่อสาธารณะ

นอกจากนี้คณะกรรมการบริหารรวมทั้งสิ้น 15 คน ยังมีบุคลากรที่ครอบคลุมมิติของความมั่นคง กฎหมาย และการบริหารจัดการองค์กร ได้แก่

พล.ต.ท. จิรพัฒน์ ภูมิจิตร อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ได้รับตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค การมีอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงในหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายถือเป็นการตอบสนองต่อเสาหลักด้านนโยบาย "ธนู 4" ที่มุ่งเน้นการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างมีประสิทธิภาพ   

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ศักย์ ทับพลี อีกหนึ่งรองหัวหน้าพรรค ที่มาจากสายวิชาการ จากวิทยาลัยการบริหารแห่งรัฐ (College of State Administration) ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงการให้ความสำคัญกับการศึกษาและการวิจัยเชิงนโยบายอย่างต่อเนื่อง โดยมีนักวิชาการหลายท่านร่วมทำงานเคียงข้างกับหัวหน้าพรรค

นอกจากนี้ ยังมีรองหัวหน้าพรรคท่านอื่น ๆ ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนพรรค ได้แก่ นายชยพงศ์ สายฟ้า, นายอนุพงษ์ มาคำ, นายกิติ วงษ์กุหลาบ, และ นายณัฐวัฒน์ บูรณะกนก

การมีรองหัวหน้าพรรคจำนวนมากถึงหกคน บ่งชี้ถึงความตั้งใจของพรรคในการกระจายอำนาจการบริหารจัดการ และการให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายและการระดมกำลังในระดับภูมิภาค เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการส่งผู้สมัคร สส. ทั่วทุกภาค ตามที่หัวหน้าพรรคได้ประกาศไว้  

การกำกับดูแลด้านการเงินและการบริหาร

เหรัญญิกพรรค : นางสาวจิติกานต์ แจ้งเจนกิจ มีหน้าที่รับผิดชอบด้านการเงิน 

นายทะเบียนสมาชิกพรรค: นายภคภณ เทพอินทร์ชัย ทำหน้าที่ดูแลฐานข้อมูลสมาชิก การขยายสมาชิกภาพ และการปฏิบัติตามกฎระเบียบของพรรคการเมือง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการมีสุขภาพองค์กรที่ดี  

กรรมการบริหารพรรค

กรรมการบริหารพรรคที่ร่วมสนับสนุนวิสัยทัศน์หลัก ได้แก่ นางสาวธัญชนก นานา, นายธนกร บรรพศิริ, นายธีรคุปต์ ธรรมมณีวงศ์, และ น.ต.ปวิณ ปีตะวรรณ บุคคลเหล่านี้เป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนการทำงานของคณะกรรมการชุดใหญ่ และการบริหารจัดการคณะทำงานเฉพาะกิจด้านต่าง ๆ ของพรรค เช่น การรณรงค์หาเสียง การมีส่วนร่วมของเยาวชน หรือการประสานงานในพื้นที่ 

คณะกรรมการบริหารพรรคไทยก้าวใหม่เป็นการรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญที่แสดงถึงการแทรกแซงทางอุดมการณ์อย่างตั้งใจ โดยมีศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์และ ดร.คุณหญิงกัลยา เป็นแกนนำ บนความเชื่อที่ว่า ความเข้มแข็งของชาติ (Strong Thailand) จะบรรลุผลได้ก็ต่อเมื่อมีการปฏิรูปโครงสร้างด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ แทนที่จะปล่อยให้ปัญหาของประเทศติดอยู่กับความเฉื่อยชาทางการเมืองแบบเดิม