KEY
POINTS
วันนี้ (30 ก.ย. 68) ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้องที่ประธานวุฒิสภาส่งความเห็นของสมาชิกวุฒิสภา เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีความเป็นรัฐมนตรีของ นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่
สืบเนื่องจากผู้ถูกร้องทั้งสองถูกกล่าวหาว่า มีมติให้ความผิดอาญาบางกรณีเป็นคดีพิเศษตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มาตรา 23 (2) อันเป็นการใช้อำนาจกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เข้าไปก้าวก่ายกระบวนการตรวจสอบการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งเข้าข่ายเป็นการกลั่นแกล้ง กดดัน และครอบงำฝ่ายนิติบัญญัติ ขัดหลักการแบ่งแยกอำนาจและฝ่าฝืนหลักนิติธรรม อีกทั้งอาจสะท้อนถึงการขาดความซื่อสัตย์สุจริต และการละเมิดมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง
อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่คดีอยู่ในกระบวนการพิจารณา ศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีคำวินิจฉัยที่ 17/2568 ให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลง ส่งผลให้คณะรัฐมนตรีทั้งชุดพ้นจากตำแหน่งไป เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2568
และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ ในวันที่ 24 กันยายน ที่ผ่านมา โดยไม่มีชื่อของนายภูมิธรรม และ พ.ต.อ.ทวี
ศาลรัฐธรรมนูญจึงพิจารณาและมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 2 เห็นว่า แม้ผู้ถูกร้องทั้งสองจะพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีแล้ว แต่เพื่อประโยชน์สาธารณะตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 51 ศาลยังสามารถดำเนินการวินิจฉัยคดีต่อไปได้
ตุลาการเสียงข้างมาก 6 คน ได้แก่ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์, นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม, นายจิรนิติ หะวานนท์, นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์, นายอุดม รัฐอมฤต และ นายสุเมธ รอยกุลเจริญ
ขณะที่ตุลาการเสียงข้างน้อย 2 คน คือ นายวิรุฬห์ แสงเทียน และนายนภดล เทพพิทักษ์ เห็นว่า เมื่อผู้ถูกร้องทั้งสองสิ้นสุดตำแหน่งไปแล้ว ย่อมไม่มีเหตุสมควรให้ศาลดำเนินการวินิจฉัยต่อ