“อนุทิน”เฮ ศาลรธน.เอกฉันท์ไม่รับสอบปมใช้ถนนขึ้นลงเครื่องบิน

17 ก.ย. 2568 | 05:40 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ก.ย. 2568 | 05:49 น.

ศาล รธน.ไม่รับสอบ “อนุทิน” ปมใช้อำนาจขอถนนสาธารณะเป็นทางขึ้นลงเครื่องบิน ชี้ผู้ร้องไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมาย ส่วนคดี “ภูมิธรรม-ทวี”ปมสอบฮั้ว สว. รอเอกสาร กกต.

KEY

POINTS

  • ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับคำร้องที่กล่าวหา นายอนุทิน ชาญวีรกูล กรณีใช้ถนนสาธารณะเป็นทางขึ้นลงของเครื่องบินไว้พิจารณา
  • ศาลฯ ชี้ว่ากระบวนการยื่นคำร้องไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากผู้ร้องไม่ได้ยื่นเรื่องผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินก่อน
  • คำร้องดังกล่าวกล่าวหาว่า นายอนุทิน ใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจส่วนตัว ซึ่งอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญและมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง


เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาคำร้องสำคัญ 2 เรื่อง ได้แก่กรณีเกี่ยวข้องกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และกรณี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี (ในขณะดำรงตำแหน่ง) และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม

คดีอนุทิน

คำร้องที่ ต.86/2568 มีนายนิยม นพรัตน์ เป็นผู้ร้อง โดยอ้างอิงรายงานข่าวใน MGR Online เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 กล่าวหาว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล ขณะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ใช้อำนาจหน้าที่ขอใช้ถนนสาธารณะเป็นทางขึ้นลงของอากาศยาน เพื่อกิจกรรมทางธุรกิจของเอกชน อันอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 และมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง พร้อมขอให้วินิจฉัยให้สิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 

ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ผู้ร้องไม่ได้ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 46 วรรคหนึ่ง ส่งผลให้ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ ไม่รับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณา

คดีภูมิธรรม-ทวี 

อีกหนึ่งคดีที่พิจารณาในวันเดียวกัน คือ คดีที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้อง (เรื่องที่ 8/2568) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนายภูมิธรรม เวชยชัย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ว่าจะสิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 ประกอบมาตรา 160

โดย สว.ผู้ร้องระบุว่า ผู้ถูกร้องทั้งสองใช้อำนาจมีมติให้คดีอาญาบางประเภทเป็นคดีพิเศษตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มาตรา 21 (2) เพื่อครอบงำหรือแทรกแซงอำนาจการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลการเลือกสมาชิกวุฒิสภา ถือเป็นการกลั่นแกล้ง ข่มขู่ กดดัน สว. ขัดต่อหลักนิติธรรมและมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง

ล่าสุด ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้รอความเห็นและเอกสารประกอบจากเลขาธิการ กกต. ซึ่งขอขยายระยะเวลาในการจัดทำความเห็นและรวบรวมหลักฐาน ก่อนที่ศาลจะมีคำวินิจฉัยต่อไป