KEY
POINTS
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2568 จะมีวาระในการพิจารณาวาระค้างที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขกฎหมายท้องถิ่น 3 ฉบับ
ซึ่งมีสาระสำคัญในการปลดล็อกคุณสมบัติอายุและวาระการดำรงตำแหน่งของนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และนายกเทศมนตรี การแก้ไขครั้งนี้มีผู้เสนอถึง 2 เวอร์ชั่น ซึ่งต่างมีประเด็นที่น่าจับตาอย่างใกล้ชิด
สาระสำคัญของการแก้ไขกฎหมาย 3 ฉบับ ร่างพระราชบัญญัติทั้ง 3 ฉบับ ได้แก่
โดยทั้ง 3 ฉบับ มี ประเด็นหลัก 2 ข้อ ที่เสนอให้แก้ไข คือ
1. ลดอายุผู้สมัคร : ปรับลดคุณสมบัติอายุขั้นต่ำของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ., นายก อบต. และนายกเทศมนตรี เหลือไม่ต่ำกว่า 25 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง ซึ่งจากกฎหมายเดิมกำหนดไว้ไม่ต่ำกว่า 35 ปี
2. ยกเลิกจำกัดวาระ : ยกเลิกข้อจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งของนายกทั้ง 3 องค์กรท้องถิ่น จากเดิมที่กำหนดให้ดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี แต่จะติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้
คณะผู้เสนอให้เหตุผลว่า ปัจจุบันองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างมากจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี ซึ่งต้องการทักษะและแนวคิดใหม่ๆ ในการบริหารจัดการ การเปิดโอกาสให้ "คนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถ" อายุ 25 ปีขึ้นไป ได้เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาท้องถิ่นจึงเป็นสิ่งจำเป็น
นอกจากนี้ การยกเลิกข้อจำกัดวาระจะช่วยให้ผู้นำท้องถิ่นมีโอกาสทำงานได้อย่างต่อเนื่อง สามารถวางแผนพัฒนาท้องถิ่นทั้งระยะสั้น กลาง และยาวได้อย่างเต็มที่ นำมาซึ่งความมั่นคงในการดำเนินนโยบาย และสะท้อนถึงเจตนารมณ์ในการยกระดับธรรมาภิบาลและการมีส่วนร่วมของประชาชน
สองเวอร์ชั่นกฎหมายบนโต๊ะสภา การประชุมสภาฯ ครั้งนี้ จะมีการพิจารณาร่างกฎหมายถึง 2 เวอร์ชั่น
โดยร่างแรกนำเสนอโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล สส.บัญชีรายชื่อพรรคภูมิใจไทย และคณะ สส. รวม 20 ราย ส่วนอีกเวอร์ชั่นหนึ่งอยู่ในวาระที่ 6 เรื่องที่เสนอใหม่ นำเสนอโดย นายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ สส.พรรคชาติไทยพัฒนา และคณะ สส. รวม 20 ราย ซึ่งมีเนื้อหาคล้ายกัน
จากการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ. สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... พบว่า
การลดอายุผู้สมัครเหลือ 25 ปี
การไม่จำกัดวาระการดำรงตำแหน่ง
ตั้งข้อสังเกตว่า การกำหนดอายุผู้สมัครและวาระการดำรงตำแหน่งต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากมีทั้งประโยชน์และผลกระทบตามมา และกฎหมายท้องถิ่นปัจจุบันไม่ได้เป็นอุปสรรคในการพัฒนาท้องถิ่น จึงควรวิเคราะห์ปัญหาที่แท้จริงของการบริหารงานท้องถิ่น
นอกจากนี้ กฎหมายจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของไทยยังมีปัญหาเรื่องหน้าที่และอำนาจที่กว้างขวางและซ้ำซ้อน ซึ่งต่างจากต่างประเทศที่มีการแบ่งภารกิจชัดเจน ทำให้เกิดปัญหาในการตีความและบังคับใช้กฎหมาย
ดังนั้นการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2568 จึงเป็นการจับตาถึงทิศทางของการปกครองส่วนท้องถิ่นของไทย ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอย่างไร และร่างกฎหมายใดจะผ่านการพิจารณา เพื่อนำไปสู่การพัฒนาหรือการสร้างปัญหาใหม่ๆ ให้กับท้องถิ่นต่อไป