KEY
POINTS
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีที่หมุนเร็วขึ้นทุกวัน การบริหารจัดการประเทศต้องปรับตัวอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และหัวใจสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนนั้นอยู่ที่รากฐานคือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีความพยายามเปิดทางให้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารท้องถิ่น
เรื่องราวการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญกำลังถูกเสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล สส.บัญชีรายชื่อพรรคภูมิใจไทย เป็นผู้เสนอ กับคณะสส.ภูมิใจไทย รวม 20 ราย
ได้ยื่นเสนอร่างพระราชบัญญัติเพื่อแก้ไขกฎหมายท้องถิ่นถึง 3 ฉบับด้วยกัน ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราณฎร ไม่ใช่เพียงการปรับแก้ข้อกฎหมาย แต่คือการปูทางสู่การบริหารท้องถิ่นที่เข้มแข็ง ตอบโจทย์ยุคสมัย ดึงคนรุ่นใหม่เข้ามาเป็นผู้นำองค์กรเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ
ร่างกฎหมายทั้ง 3 ฉบับประกอบด้วย
ถูกบรรจุในวาระที่ 5 เรื่องที่ค้างพิจารณา (ตั้งแต่ 29 มกราคม 2568) แต่ถูกบรรจุในวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2568
และนอกจากนี้ยังพบด้วยว่าในวาระที่ 6 เรื่องที่เสนอใหม่ ในวาระประชุมสภาฯวันที่ 18 ก.ย.68 โดยนายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ สส.พรรคชาติไทยพัฒนา กับคณะสส.รวม 20 รายเป็นผู้เสนอ 3 ร่าง พ.ร.บ. ที่มีเนื้อหาคล้ายกัน
ทำไมการแก้ไขกฎหมายท้องถิ่นจึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนในวันนี้? เหตุผลสำคัญประการแรกที่เขียนในร่างกฎหมายทั้ง 6 ฉบับ คือ ปัจจุบันองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างยิ่งยวดจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี ความท้าทายเหล่านี้ไม่ได้มาพร้อมกับโอกาสเท่านั้น แต่ยังต้องการทักษะและแนวคิดใหม่ๆ ในการบริหารจัดการ เพื่อให้ท้องถิ่นสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
คณะผู้เสนอเล็งเห็นว่า การบริหารจัดการท้องถิ่นในปัจจุบันต้องการผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีความสามารถในการปรับตัว และสามารถนำพาชุมชนก้าวข้ามข้อจำกัดเดิมๆ ได้
ดังนั้น การเปิดโอกาสให้ "คนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถ" ได้เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาท้องถิ่นจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งนี่เป็นที่มาของการเสนอแก้ไขประเด็นแรก
แก่นสำคัญของการแก้ไขกฎหมายทั้งสามฉบับ คือ การปรับคุณสมบัติอายุของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.), นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (นายก อบต.) และนายกเทศมนตรี ให้มีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง
นี่ไม่ใช่แค่การลดเกณฑ์อายุ แต่คือการขีดเส้นที่ 25 ปี เพื่อดึงพลังของคนรุ่นใหม่ที่มีวุฒิภาวะ มีความรู้ และพร้อมที่จะทุ่มเทเพื่อบ้านเกิด ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง โดยมีเป้าหมายเพื่อนำพาทักษะการบริหารจัดการใหม่ๆ และตอบสนองพลวัตของสังคมยุคดิจิทัล
นอกจากการปรับคุณสมบัติอายุแล้ว ร่างกฎหมายยังเสนอ การยกเลิกข้อจำกัดเกี่ยวกับวาระการดำรงตำแหน่งของนายกฯ ในทุกระดับ
โดยกำหนดให้นายกฯทั้ง 3 องค์กรท้องถิ่น สามารถ ดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปีนับแต่วันเลือกตั้ง โดยไม่มีการจำกัดวาระ
หลักคิดเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้คือ การที่ผู้นำท้องถิ่นมีโอกาสทำงานได้อย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้สามารถวางแผนพัฒนาท้องถิ่นได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นโครงการระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาว การบริหารงานที่ต่อเนื่องนี้จะนำมาซึ่งความมั่นคงในการดำเนินนโยบาย และสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมให้กับท้องถิ่นได้จริง
การยกเลิกข้อจำกัดวาระนี้ยังเป็นการ เปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพทางการเมืองในการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นที่ตนเองต้องการ เข้ามาบริหารท้องถิ่นโดยไม่มีข้อจำกัด ซึ่งสะท้อนถึงเจตนารมณ์ในการยกระดับธรรมาภิบาลและการมีส่วนร่วมของประชาชนในระดับท้องถิ่น
1. ร่างพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
2. ร่างพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
3. ร่างพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
โดยทั้ง 3 ฉบับ ระบุว่า ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติทั้ง 3 ฉบับนี้เมื่อมีผลบังคับใช้
การผลักดันการแก้ไขกฎหมายท้องถิ่นทั้งสามฉบับนี้ จึงเป็นมากกว่าการเปลี่ยนแปลงตัวอักษรบนหน้ากระดาษ แต่เป็นการส่งสัญญาณว่าประเทศไทยพร้อมแล้วที่จะเปิดพื้นที่ให้กับพลังและศักยภาพของคนรุ่นใหม่ พร้อมกับการสร้างเสถียรภาพและความต่อเนื่องในการพัฒนา เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในยุคที่โลกไม่เคยหยุดนิ่ง