หลังจากที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ก็เดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลทันที ด้วยการทาบทามบุคคลต่างๆที่จะเข้าคณะรัฐมนตรี เพื่อเดินหน้าบริหารประเทศ โดยการจัดสรรโควตาตามจำนวนเสียงจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย รวมทั้งหมด 146 เสียง
สำหรับรายชื่อที่ถูกจับตาคือ การทาบทามบุคคลภายนอกเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีแล้วถึง 8 คนคือ
ส่วนโควตาพรรคการเมืองต่างๆนอกจากพรรคภูมิใจไทย ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแล้ว ยังอยู่ระหว่างการจัดสรรตำแหน่ง ซึ่งยังไม่ลงตัว เพราะมีหลายรายชื่อที่ต้องตรวจสอบคุณสมบัติ
การให้โควตาคนนอกจำนวนมากเข้าร่วมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในครั้งนี้ ได้รับการชื่นชมจากนักวิชาการหลายคน ที่สะท้อนถึงความใจกว้างของนายอนุทิน ที่ได้เสียสละโควต้ารัฐมนตรีของพรรคตัวเองมาให้คนนอกหลายตำแหน่ง เป็นการสรรหารัฐมนตรีน้ำดีจากนอกพรรค มาช่วยบริหารประเทศ ซึ่งสำคัญยิ่งในภาวะที่ประเทศกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทยให้ความเห็นถึงโผคณะรัฐมนตรี(ครม.)ชุดใหม่ โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจว่า เท่าที่ติดตามรายชื่อในรอบนี้ถือว่าหน้าตาดูดีและใช้ได้ โดยดึงคนนอกเข้ามาร่วมทีม มองเป็นเชิงบวกเพราะไม่เอาการเมืองมานำในการแต่งตั้งมากเกินไปเหมือนในหลายรัฐบาลที่ผ่านมา ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และสร้างเชื่อมั่นได้ระดับหนึ่ง
สำหรับนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ผู้บริหารกลุ่มดุสิตธานีที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ผ่านมาก็ได้มาช่วยดูแลงานของหอการค้าไทยทางด้านการค้ามาโดยตลอด เป็นหนึ่งในบุคคลที่หอการค้าฯให้ความเชื่อถือ
ส่วนนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ที่จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เคยเป็นอธิบดีในหลายกรมของกระทรวงการคลัง ได้เห็นภาพกว้างของเศรษฐกิจไทย และที่สำคัญยังรู้กลไกการขับเคลื่อนในเชิงการเมืองและระบบราชการ คาดหวังจะตัดสินใจในเรื่องการเงิน-การคลัง ของประเทศได้เร็วเพราะรัฐบาลมีอายุการทำงานเพียง 4 เดือนหลังแถลงนโยบาย
ขณะที่นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปตท.จำกัด (มหาชน)ที่จะมาเป็นรัฐมนตรีว่ากระทรวงพลังงาน มาจากสายตรงด้านพลังงานอยู่แล้ว มีความรู้และประสบการณ์ด้านพลังงานเป็นอย่างดี
ที่สำคัญจะรู้วิธีว่าจะทำอย่างไรให้ต้นทุนด้านพลังงานของไทยลดลง รวมถึงรู้เรื่องของความยั่งยืนของพลังงานไทยในอนาคต ซึ่งต้องรอดูว่า รมว.พลังงานจะมีแผนระยะกลาง และระยะยาวเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของพลังงานไทยอย่างไร
ส่วนนายอรรถกร ศิริลัทธยากร จากรัฐมนตรีเกษตรฯในรัฐบาล “แพทองธาร”ที่จะโยกมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ถือเป็นคนหนุ่มไฟแรง มีความสดใหม่ น่าจะมีความรู้ความเข้าใจพฤติกรรมการท่องเที่ยวของคนรุ่นใหม่ และคนรุ่นเก่า ซึ่งต้องให้โอกาสพิสูจน์ตัวเอง
นายธนกร วังบุญคงชนะ ที่จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มีความคาดหวังที่จะเข้ามาดูแลและปรับโครงสร้างภาคอุตสาหกรรม และดูแลเรื่องระบบนิเวศ (ecosystem) ของภาคอุตสาหกรรมให้มีความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้น ในต้นทุนที่ลดลง และเดินหน้าในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นในการดึงการลงทุนจากต่างประเทศ
อย่างไรก็ดีสิ่งที่อยากฝากรัฐบาลชุดใหม่เร่งแก้ไขปัญหาในเวลานี้คือ
ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมืองระบุว่า การแต่งตั้งบุคคลภายนอกที่มีประสบการณ์เข้ามาบริหารถือเป็นเรื่องที่ใช้ได้ แต่ยังไม่ใช่คำตอบทั้งหมด เพราะความท้าทายที่แท้จริงคือการบริหารจัดการภายในรัฐบาลผสม ที่แต่ละกระทรวงจะต้องทำงานไปในทิศทางเดียวกันและมีเอกภาพ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการคลังที่เผชิญกับข้อจำกัดด้านงบประมาณ และ ต้องทำงานภายใต้วงเงินที่จำกัดเพียง 20,000 ล้านบาท ซึ่งไม่มากพอจะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ทันที
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีเวลาทำงานเพียง 4-5 เดือนก่อนการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากสำหรับการทำนโยบายเชิงโครงสร้าง แต่ก็เป็นโอกาสดีที่ทุกฝ่ายจะร่วมมือกันเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางการเมือง
นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า โฉมหน้าครม.เป็นความพยายามในการสร้างความสมดุลระหว่างการเมืองและความคาดหวังของประชาชนจากการเชิญคนนอกที่เป็นมืออาชีพในแต่ละด้านมาผสมผสานกับโควต้าตัวแทนพรรคการเมืองถือว่าเป็นภาพลักษณ์ที่สร้างความเชื่อมั่นได้ในระดับหนึ่ง จากการมีโควต้าคนนอกมานั่งบริหารกระทรวงเศรษฐกิจหลักที่มีความพร้อมในการทำงานได้ทันที
ซึ่งการเชิญคนนอกมืออาชีพใช้ตรงกับงานก็เสมือนมีวัตถุดิบได้เชพเก่งมาปรุงแต่งย่อมทำให้คนคาดหวังรออาหารจานอร่อยจากเชพมือดีนั่นเอง
“การเริ่มต้นของ รัฐบาลอนุทิน ถือว่า ทำได้ดีระดับหนึ่งในการดูแลความคาดหวังของสังคมกับการสร้างความสมดุลในการด้านความคาดหวังทางการเมือง แต่ผลจากทำงานของรัฐบาลจะเป็นตัวชี้วัดที่แท้จริง”
นายกิตติ พรศิวะกิจ นายกสมาคมการตลาดท่องเที่ยวไทยกล่าวว่า ครม.ชุดใหม่ ในส่วนของคนนอกถือว่าครบเครื่อง ตอบโจทย์ภาคเอกชน ที่ได้คนเก่ง คนดี มีประสบการณ์ตรงกับกระทรวงที่รับผิดชอบทุกท่าน ทั้งด้านการคลัง การต่างประเทศ เศรษฐกิจ กฏหมาย ความมั่นคง เกรด A ทุกท่าน
อย่างไรก็ตาม คนท่องเที่ยวฝากขอมาว่าหากกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาได้รัฐมนตรีที่มีประสบการณ์ตรงแบบนีบ้างน่าจะสามารถแก้วิกฤตท่องเที่ยวในช่วงนี้ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรกล่าวกับ“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า สนับสนุนอย่างยิ่งที่รัฐบาลนำมืออาชีพคนนอกมาเสริมทีมเศรษฐกิจและการต่างประเทศ ทุกท่านที่คัดมาเป็นไปตามสเปค มีผลงานและประวัติดี ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน
แต่สิ่งที่ควรเพิ่มคือต้องระวังอย่าให้เกิดนโยบายประชานิยม ต้องรักษาวินัยการคลัง ทีมเศรษฐกิจต้องกล้าบอกว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้นายกฯต้องให้อำนาจตัดสินใจจริง ไม่ใช่มาประดับคณะรัฐมนตรี(ครม.)
นายวรัทภพ แพทยานันท์ เลขาธิการสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร มองว่า ทีมเศรษฐกิจคนนอกภายใต้รัฐบาลภูมิใจไทย มองว่ามีความรู้ความสามารถที่ดีที่เอกชนยอมรับ โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่สามารถเข้ากับ ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ได้
รวมถึงนายกรัฐมนตรีอย่างนายอนุทิน ชาญวีรกูล มองว่า เข้าใจภาคเอกชนเนื่องจากทำธุรกิจภาคก่อสร้างเช่นกันซึ่งได้รับผลกระทบไม่ต่างจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แม้ว่าจะมีระยะเวลาบริหารประเทศเพียง 4 เดือนในทางกลับกัน ประเมินว่าเป็นลักษณะการวางแผนนำไปสู่การเลือกตั้งในครั้งหน้า ที่นักธุรกิจและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประชาชนเชื่อมั่น โดยเฉพาะ นโยบายคนละครึ่ง