“ทักษิณ”เข้าคุก! พลิกวิกฤติสู่พลังศรัทธา โอกาสใหม่พรรคเพื่อไทย

09 ก.ย. 2568 | 23:30 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ก.ย. 2568 | 02:16 น.

“ทักษิณ”เข้าคุก! พลิกวิกฤติสู่พลังศรัทธา โอกาสใหม่พรรคเพื่อไทย : รายงานพิเศษ โดย...ทีมข่าวการเมือง หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4130

KEY

POINTS

  • การที่ ทักษิณ ยอมรับคำตัดสินของศาล และกลับเข้ารับโทษ ช่วยลบภาพลักษณ์การเป็นผู้หลบหนีคดี และสร้างภาพผู้นำที่เคารพกฎหมาย
  • การกลับเข้าเรือนจำ ช่วยสร้างกระแสความเห็นใจจากมวลชน ทำให้ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย แข็งแกร่งและแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
  • พรรคเพื่อไทยได้โอกาสในการปรับยุทธศาสตร์และสร้างแบรนด์ใหม่ ในฐานะพรรคฝ่ายค้านที่แข็งแกร่งและมีศักดิ์ศรี
  • ช่วยลดแรงโจมตีว่า พรรคถูกสั่งการจากภายนอก และเปิดพื้นที่ให้ผู้นำรุ่นใหม่อย่าง แพทองธาร ได้แสดงภาวะผู้นำอย่างเต็มตัว

การตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 ที่สั่งให้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องกลับเข้าเรือนจำเพื่อรับโทษจำคุก 1 ปี นับเป็น “เหตุการณ์ประวัติศาสตร์” ของการเมืองไทยอีกครั้ง 

เพราะนี่คือ “อดีตนายกรัฐมนตรี” คนแรก ที่ต้องกลับไปชดใช้โทษ หลังได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้ว แต่การบังคับโทษไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

แม้ภาพแรกที่สังคมเห็นอาจเป็นความสูญเสีย และความเจ็บปวดของ “ครอบครัวชินวัตร” และ “พรรคเพื่อไทย” ที่ต้องเผชิญแรงกดดันทางการเมือง แต่เมื่อมองลึกลงไป การกลับเข้าคุกครั้งนี้กลับอาจเป็น “ผลดี” ในเชิงการเมืองต่อพรรคเพื่อไทยอย่างมีนัยสำคัญ

1.“ทักษิณ”ยอมรับชะตา : สร้างภาพลักษณ์ผู้นำเคารพกติกา

ตลอดเกือบสองทศวรรษที่ผ่านมา ชื่อของ ทักษิณ ถูกผูกโยงกับข้อครหา “หนีคดี” และ “ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม” แต่วันนี้ การที่เจ้าตัวประกาศ “น้อมรับคำพิพากษา” และพร้อมกลับเข้ารับโทษ กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ

ท่าทีดังกล่าวไม่เพียงลบข้อครหาที่สะสมมาตั้งแต่ปี 2549 แต่ยังตอกย้ำภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำ ที่ยอมสละอิสระภาพเพื่อพิสูจน์ตนเองต่อสังคม และ ระบบกฎหมายไทย ขณะเดียวกัน ยังส่งสัญญาณเชิงสัญลักษณ์ถึงมวลชนว่า การต่อสู้ได้สิ้นสุดลงแล้ว และถึงเวลาที่ประเทศต้องเดินหน้าต่อ

2.ความเห็นใจ : กลายเป็นทุนทางการเมือง

การกลับเข้าคุกของอดีตนายกฯ ไม่ได้สร้างความสิ้นหวัง แต่กลับก่อให้เกิด “กระแสความเห็นใจ” อย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชนฐานเสียงเดิมของพรรคเพื่อไทย

“ครอบครัวชินวัตร” โดยเฉพาะ แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ใช้โอกาสนี้แสดงความเข้มแข็ง ยืนยัน “สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ” และประกาศพร้อมทำหน้าที่ฝ่ายค้านตรวจสอบรัฐบาลต่อ 

สิ่งเหล่านี้ทำให้ “ฐานมวลชนยิ่งแน่นแฟ้น” และเกิดความรู้สึกว่า พรรคไม่ได้พ่ายแพ้ แต่กลับ “ยืนหยัด” ในจุดที่ตนควรอยู่

3.พรรคเพื่อไทย : รีแบรนด์สู่พรรคฝ่ายค้านที่มีศักดิ์ศรี

หลังจากเสียเสียงข้างมากจนต้องกลับไปนั่งฝ่ายค้าน “พรรคเพื่อไทย” เผชิญโจทย์ใหญ่ คือ การรักษาบทบาทและความน่าเชื่อถือ แต่เหตุการณ์ “ทักษิณกลับเข้าคุก” กลับสร้างแรงกระตุ้นภายในพรรคให้ปรับยุทธศาสตร์

ภูมิธรรม เวชยชัย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี และแกนนำพรรคเพื่อไทย ย้ำชัดว่า พรรคพร้อมทำหน้าที่ฝ่ายค้านเต็มที่ ไม่เสียขวัญกำลังใจ ตรงกันข้าม สมาชิกพรรคกลับมองว่า นี่คือเวลาที่จะยืนยันว่า พรรคเพื่อไทย คือ พรรคที่ยึดมั่นในกระบวนการประชาธิปไตย และจะใช้ทุกพื้นที่ตรวจสอบรัฐบาลชุดใหม่ 

การเดินหน้าในฐานะฝ่ายค้าน ยังเปิดพื้นที่ให้พรรคสร้าง “แบรนด์ใหม่” คือ พรรคฝ่ายค้านที่จริงจัง มีความรับผิดชอบ และเป็นตัวแทนเสียงประชาชนที่กำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ

4.การเมืองบนเวทีใหญ่ : พื้นที่ว่างสำหรับเพื่อไทย

เมื่อ ทักษิณ เข้าสู่เรือนจำ พื้นที่ทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย ยิ่งชัดเจนขึ้น เพราะลดแรงโจมตีที่ว่า พรรคยังเป็น “พรรคของทักษิณ” หรือ “ทักษิณสั่งการจากข้างนอก”

การที่หัวหน้าพรรคอย่าง แพทองธาร ออกมาแสดงความเป็นผู้นำทางการเมืองอย่างเต็มตัว พร้อมทั้งสร้างภาพลักษณ์ “ลูกสาวที่สืบสานอุดมการณ์ แต่ไม่ใช่เงาของพ่อ” ยิ่งเป็นการขยายพื้นที่ทางการเมืองให้พรรคเพื่อไทย พัฒนาภาพลักษณ์ใหม่ โดยไม่ถูกกดทับด้วยข้อครหาจากคู่แข่ง

5.โอกาสระยะยาว : ทักษิณในฐานะ“ผู้นำทางจิตวิญญาณ”

แม้ต้องใช้ชีวิตในเรือนจำอีก 1 ปี แต่ ทักษิณ ยังคงเป็นสัญลักษณ์ทางการเมือง และ “ผู้นำทางจิตวิญญาณ” ของพรรคเพื่อไทย 
คำพูดของ แพทองธาร ที่ย้ำว่า “คุณพ่อยังคงเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ” แสดงถึงความพยายามของพรรคในการรักษามรดกทางการเมือง ขณะเดียวกันก็แยกบทบาทเชิงปฏิบัติออกไป

การปล่อยให้พรรคเดินไปข้างหน้าโดยไม่มี “เงาอำนาจ” ของ ทักษิณ มากำกับทุกการตัดสินใจ อาจกลายเป็นการสร้างสมดุลใหม่ ที่ทำให้พรรคเพื่อไทย กลับมาเป็นพรรคการเมืองที่มีพลังในระยะยาว

                           “ทักษิณ”เข้าคุก! พลิกวิกฤติสู่พลังศรัทธา โอกาสใหม่พรรคเพื่อไทย

จากวิกฤติสู่โอกาส

คำสั่งศาลฎีกาฯ ที่ให้ “ทักษิณ” กลับเข้าเรือนจำ แม้ดูเหมือนเป็นการปิดฉาก แต่ในเชิงการเมืองกลับกลายเป็นการ “เปิดฉากใหม่” ให้กับพรรคเพื่อไทย

• ลบข้อครหาหนีคดี - ยืนยันการเคารพกติกา

• ได้รับกระแสความเห็นใจ - เสริมทุนทางการเมือง

• รีแบรนด์พรรค - เป็นฝ่ายค้านที่มีศักดิ์ศรี

• ลดแรงโจมตี“พรรคของทักษิณ” - เปิดทางให้แพทองธารสร้างบทบาท

• ตอกย้ำบทบาททักษิณ - ในฐานะผู้นำเชิงสัญลักษณ์

ทั้งหมดนี้ทำให้การติดคุกของ “ทักษิณ” ไม่ได้เป็นเพียงโศกนาฏกรรมทางการเมืองของ “อดีตนายกรัฐมนตรี” แต่กลับกลายเป็น “ต้นทุนใหม่” ที่ช่วยพรรคเพื่อไทยยืนหยัดในสนามการเมือง และอาจพลิกกลับมาเป็นพลังสำคัญอีกครั้งในอนาคต...

                                  ++++++++++++

“ทักษิณ”น้อมรับคำพิพากษา
สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ

“ทักษิณ”น้อมรับคำพิพากษา สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานอภัยลดโทษจำคุกคงเหลือเวลา 1 ปี พร้อมขอบคุณประชาชนที่ให้การสนับสนุน 

วันที่ 9 กันยายน 2568 ภายหลังศาลฎีกาฯ พิพากษาให้กลับไปรับโทษจำคุก 1 ปี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ X ความว่า  

“พี่น้องประชาชนที่เคารพ ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้พระราชทานอภัยลดโทษจำคุกแก่ผมคงเหลือเวลา 1 ปี นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ ต่อทั้งตัวผม และครอบครัว

ผมขอน้อมรับและพร้อมเข้าสู่กระบวนการตามคำพิพากษาในวันนี้ ตลอดระยะเวลาของการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ปี 2544-2549 ผมพยายามผลักดันทุกนโยบายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน เปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมืองของประเทศไทย ให้พรรคการเมืองแข่งขันกันด้วยนโยบาย สร้างประชาธิปไตยที่กินได้จากผลงานของรัฐบาลที่ทำได้จริง ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจอย่างที่สุดในฐานะนักการเมืองจากการเลือกตั้งของประชาชน

แม้ว่าทุกคดีจะเกิดขึ้นหลังการรัฐประหารรัฐบาลของผม เมื่อปี 2549 แต่วันนี้ผมขอมองไปข้างหน้า ให้ทุกอย่างที่ผ่านมามีข้อยุติ ทั้งการต่อสู้คดีตามกฎหมาย และความขัดแย้งใดๆ อันเกิดขึ้นหรือเกี่ยวข้องกับตัวผม

ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้การสนับสนุนตลอดมา ขอบคุณนักการเมือง สมาชิกพรรคเพื่อไทย และ เพื่อนมิตรทั้งหลายที่เคียงข้างกันทั้งในยามสุขและยามยาก 

ผมตัดสินใจเลือกทางเดินนี้ เพื่อส่งกำลังใจให้ทุกคนเดินไปข้างหน้า ทำงานเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน ด้วยอุดมการณ์และจิตวิญญาณที่เรามีร่วมกันมา จนกว่าจะถึงวันที่เราได้เดินร่วมทางกันอีกครั้ง 

จากวันนี้แม้ผมจะไร้อิสรภาพ แต่ยังมีเสรีภาพทางความคิดเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ผมจะรักษาความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อใช้เวลาในชีวิตที่เหลืออยู่ รับใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ แผ่นดินไทย และ ประชาชนคนไทย ไม่ว่าจะในสถานะใดนับจากนี้ ขอบคุณครับ

รายงานพิเศษ โดย...ทีมข่าวการเมือง หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4130