KEY
POINTS
ภายหลังเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 กลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคเพื่อไทย ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของสภาฯ ได้ร่วมกันเข้าชื่อยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยกรณีสมาชิกภาพการเป็น ส.ส. ของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (2) ประกอบมาตรา 185 (1) และ (2)
คำร้องดังกล่าวระบุถึงการทำ บันทึกข้อตกลง (MOA) ระหว่างพรรคภูมิใจไทย และ พรรคประชาชน เพื่อแลกเปลี่ยนการสนับสนุนให้ สส.พรรคประชาชนโหวตให้ นายอนุทิน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมีเงื่อนไขสำคัญ 5 ประการ ได้แก่
1.นายกฯ ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือนหลังแถลงนโยบาย
2.หากศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าจำเป็นต้องทำประชามติก่อนแก้รัฐธรรมนูญ ต้องจัดประชามติให้เสร็จทันก่อนเลือกตั้งใหม่
3.หากไม่ต้องทำประชามติ ต้องเร่งผลักดันร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อจัดตั้ง ส.ส.ร. ในสมัยนี้
4.พรรคภูมิใจไทยต้องไม่ดำเนินการใดๆ เพื่อทำให้รัฐบาลกลายเป็นเสียงข้างมาก
5.พรรคประชาชนยืนยันทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ไม่มีบุคคลในพรรคเข้าร่วมคณะรัฐมนตรี
สส.ผู้ยื่นคำร้องให้เหตุผลว่า ข้อตกลงดังกล่าวเข้าข่ายการครอบงำและก้าวก่ายการทำงานของพรรคการเมืองอื่น ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 114 ที่บัญญัติให้ สส.ต้องเป็นผู้แทนปวงชน ปราศจากการผูกมัด หรือ อาณัติมอบหมาย อีกทั้งยังเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางการเมืองเพื่อให้บุคคลหนึ่งได้เป็นนายกรัฐมนตรี ขัดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 28, 29 และ 46
“อนุทิน”โต้กลับไม่หวั่นถอดถอน
วันนี้ (7 ก.ย. 68) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องดังกล่าวถือเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ตามรัฐธรรมนูญ แต่ย้ำว่า ข้อตกลงที่ภูมิใจไทยทำกับพรรคประชาชนไม่ได้แตกต่างจากเงื่อนไขที่พรรคเพื่อไทย เคยเสนอมาก่อนหน้า โดยพรรคเพื่อไทยเคยระบุว่า หากพรรคประชาชนโหวตเลือก นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกรัฐมนตรี จะยุบสภาทันที
“ถ้าพรรคประชาชนยอมรับเงื่อนไขของเพื่อไทย ก็นับเป็นข้อตกลงเช่นกัน เพียงแต่ครั้งนั้น พรรคเพื่อไทยกลับไม่ทำตาม ดังนั้น หากจะจับมือกันอีก คงต้องทำมากกว่าการเซ็น MOA เพราะเคยผิดสัญญามาแล้ว” นายอนุทิน กล่าว
ทั้งนี้ เอกสารคำร้องถูกสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรประทับตรารับเรื่องแล้ว เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 เวลา 11.38 น. ลงเลขรับที่ 14239/2568 ก่อนจะส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยต่อไป