มาตรา 144 เขย่าการเมืองไทย? จากคดี“พิเชษฐ์”โยง“อิ๊งค์”

01 ส.ค. 2568 | 00:00 น.

ศาลรัฐธรรมนูญ นัด 1 ส.ค. อ่านคำวินิจฉัยคดี “พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน” ม.144 ปมโยกงบ อาจเป็นบรรทัดฐานคดี “เงินดิจิทัล 10,000 บาท” ของรัฐบาลแพทองธาร ที่ ป.ป.ช. กำลังพิจารณา

KEY

POINTS

  • ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคดี นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ วันที่ 1 ส.ค. 68 กรณีถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้งบประมาณที่อาจขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 144
  • น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กำลังเผชิญการตรวจสอบจาก ป.ป.ช. ในคดีลักษณะเดียวกัน ตามมาตรา 144 จากกรณีการใช้งบประมาณในนโยบาย "เงินดิจิทัล 10,000 บาท"
  • ผลคำวินิจฉัยในคดีของ นายพิเชษฐ์ อาจกลายเป็นบรรทัดฐานสำคัญ และส่งผลกระทบโดยตรงต่อคดีของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ที่กำลังอยู่ในชั้นการพิจารณาของ ป.ป.ช.

กระแสการเมืองไทยร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง เมื่อ “ศาลรัฐธรรมนูญ” นัดอ่านคำวินิจฉัยคดี นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ในวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม 2568 หลังถูกกล่าวหาว่า เกี่ยวข้องกับการจัดทำงบประมาณรายจ่าย ที่อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 

พร้อมกันนั้น นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็กำลังเผชิญชะตากรรมในคดีลักษณะเดียวกัน ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบสวนของ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และรอผลการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญเช่นกัน

คดี“พิเชษฐ์”เดิมพันรองปธ.สภา

เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีการปรึกษาหารือในคดีที่ นายภัณฑิล น่วมเจิม และ ส.ส. 121 คน ยื่นคำร้องกล่าวหา นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสนอโครงการใช้งบประมาณ ที่อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144

คำร้องระบุว่า นายพิเชษฐ์ ได้ให้ความเห็นชอบและมีส่วนโดยตรงหรือโดยอ้อมในการผลักดัน โครงการของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร 3 โครงการ ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 

และต่อมา สำนักงานเลขาธิการสภาฯ ได้ขอเสนอโครงการลักษณะเดียวกันและต่อเนื่องอีกครั้ง ในงบประมาณปี 2569 ซึ่งเข้าข่ายเป็นการแปรญัตติหรือกระทำการใด ๆ ที่ผู้ถูกร้องมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงและโดยอ้อม อันเป็นการฝ่าฝืน รัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง

คำร้องชี้ว่า เข้าข่ายแปรญัตติ หรือ จัดทำงบประมาณที่ผู้ถูกร้องมีส่วนได้เสีย ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่า ผิดจริง นายพิเชษฐ์ อาจสิ้นสุดสมาชิกภาพ ส.ส. หลุดตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร และ ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองทันที

ศาลได้ไต่สวนพยานบุคคลรวม 9 ปาก ก่อนมีคำสั่งรับคำแถลงปิดคดีของคู่กรณี โดยเห็นว่า พยานหลักฐานเพียงพอแล้ว จึงนัดประชุมปรึกษาและลงมติในวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม เวลา 09.30 น. และอ่านคำวินิจฉัยเวลา 15.00 น. ณ ศาลรัฐธรรมนูญ

                         มาตรา 144 เขย่าการเมืองไทย? จากคดี“พิเชษฐ์”โยง“อิ๊งค์”

คดี ม.144 ของ“แพทองธาร”ในมือ ป.ป.ช.

ไม่เพียงคดี ของ พิเชษฐ์ เท่านั้น ขณะนี้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็กำลังเผชิญคำร้องตาม มาตรา 144 เช่นกัน 

โดยเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 ชาญชัย อิสระเสนารักษ์, อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์, สมชาย แสวงการ, นิติธร ล้ำเหลือ ได้ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. เรียกร้องให้สอบสวนกรณีการจัดทำงบประมาณ ของรัฐบาล ว่ามีการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 หรือไม่ 

มีการกล่าวหาว่า รัฐบาลของ แพทองธาร ชินวัตร จัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปีงบประมาณ 2568 จำนวน 35,000 ล้านบาท โดยแปรงบกู้ที่เกี่ยวข้องกับภาระผูกพันทางกฎหมาย มาใช้ในนโยบายแจก "เงินดิจิทัล 10,000 บาท" อาจเข้าข่ายฝ่าฝืน รัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคหนึ่งและสอง ซึ่งห้ามแปรงบกู้ ผูกพัน หนี้ต้น-ดอก หรือ เงินที่กำหนดต้องใช้ตามกฎหมาย เพื่อจุดประสงค์อื่น ๆ เช่น การแจกจ่ายจูงใจทางการเมือง 

กรณีนี้ ป.ป.ช. มีมติรับเรื่องไว้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น (ยังไม่ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนอย่างเป็นทางการ)  

คณะกรรมการตรวจสอบได้รับมอบหมายให้ดำเนินการภายในกรอบ 60 วัน รวบรวมพยาน เรียกบุคคลที่เกี่ยวข้อง และศึกษากฎหมาย 
ในที่สุดหากพบว่า “มีมูล” ป.ป.ช.จะเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาต่อไป 

คดีของ “พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน” ในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ฝ่าฝืนมาตรา 144 จะส่งผลสะเทือนให้ต้องหลุดจากตำแหน่ง ส.ส.เชียงราย ซึ่งจะต้องนำไปสู่การเลือกตั้งซ่อม และพ้นจากตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง ไปโดยปริยาย ทั้งอาจถูกทวงเงินคืนภายใน 20 ปี และถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 20 ปี

ที่สำคัญคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จะเป็น “บรรทัดฐาน” โยงใยไปถึงคดี มาตรา 144 ของ “รัฐบาลแพทองธาร” ที่อยู่ในมือ ป.ป.ช. ขณะนี้ด้วยหรือไม่ น่าติดตาม...
                                  +++++++


มาตรา 144 “กับดัก” นักการเมือง

รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 144 วรรคสอง กำหนดไว้ว่า ในการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือ คณะกรรมาธิการ การเสนอ การแปรญัตติ หรือ การกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือ กรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะกระทำมิได้ 

ในกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ สมาชิกวุฒิสภา มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา เห็นว่า มีการกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติตามวรรคสอง ให้เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณา และศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับความเห็นดังกล่าว 

ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า มีการกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติตามวรรคสอง ให้การเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำดังกล่าวเป็นอันสิ้นผล ถ้าผู้กระทำการดังกล่าวเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภา ให้ผู้กระทำการนั้นสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น 

แต่ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้กระทำการ หรือ อนุมัติให้กระทำการ หรือ รู้ว่ามีการกระทำดังกล่าวแล้ว แต่มิได้สั่งยับยั้ง ให้ คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้อยู่ในที่ประชุม ในขณะที่มีมติ และให้ผู้กระทำการดังกล่าวต้องรับผิดชดใช้เงินนั้นคืนพร้อมด้วยดอกเบี้ย

ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญ ได้กำหนดโทษในกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการ มีการกระทำที่มีส่วนได้ส่วนเสียในการใช้จ่ายงบประมาณ ตามความในวรรคสามแห่งมาตรานี้ โดยแบ่งโทษเป็นดังนี้ 

การเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภา โดยให้สิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และต้องถูกเรียกให้ชดใช้เงินพร้อมดอกเบี้ย ที่ได้มีการนำไปใช้ในโครงการต่าง ๆ คืน โดยกำหนดอายุความในการบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายไว้เป็นเวลา 20 ปี นับแต่วันที่มีการจัดสรรงบประมาณนั้น เว้นแต่จะพิสูจนได้ว่าตนมิได้อยู่ในที่ประชุมในขณะที่มีมติ 

คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้กระทำการ หรืออนุมัติให้กระทำการ หรือรู้ว่ามีการกระทำดังกล่าวแล้ว แต่มิได้สั่งยับยั้งและต้องถูกเรียกให้ชดใช้เงินพร้อมดอกเบี้ย ที่ได้มีการนำไปใช้ในโครงการต่าง ๆ คืนด้วย โดยกำหนดอายุความในการบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายไว้เป็นเวลา 20 ปี นับแต่วันที่มีการจัดสรรงบประมาณนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้อยู่ในที่ประชุมในขณะที่มีมติ