วันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งในคดีพิจารณาที่ 18/2568 ซึ่งประธานวุฒิสภาเป็นผู้ยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่ กรณีมีข้อกล่าวหาว่าขาดคุณสมบัติและฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง
คดีนี้มีสมาชิกวุฒิสภา 36 คน เข้าชื่อร้องต่อประธานวุฒิสภา โดยอ้างถึง คลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ที่เผยแพร่เมื่อ 18 มิถุนายน 2568 ซึ่งผู้ถูกร้องยอมรับว่าเป็นเสียงจริง โดยให้เหตุผลว่า เป็นการพูดคุยส่วนตัว เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและอธิปไตยของไทย
อย่างไรก็ดี ฝ่ายผู้ร้องมองว่า การแสดงออกของนายกรัฐมนตรีเป็นการนิ่งเฉย ไม่ปฏิบัติหน้าที่โต้ตอบ หรือ กำหนดมาตรการในฐานะผู้นำรัฐบาล ทั้งยังถูกมองว่ามีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับฝ่ายกัมพูชาจนเป็นเหตุให้ “พร้อมทำตามความต้องการของกัมพูชา” ขัดต่อคุณสมบัติและมาตรฐานจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ล่าสุด ผู้ถูกร้องได้ยื่นคำร้องขอขยายเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเป็นครั้งที่ 2 ลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 โดยให้เหตุผลว่า ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน และเรียบเรียงเอกสารเพื่อให้ครบถ้วน
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วมีมติ เสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 อนุญาตให้ขยายระยะเวลาออกไป จนถึงวันที่ 4 สิงหาคม 2568 โดยระบุว่าเป็น “ครั้งสุดท้าย” อาศัยอำนาจตาม พ.ร.ป.วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 31
สำหรับเสียงข้างน้อยที่ไม่เห็นด้วยในการขยายเวลา ได้แก่ นายปัญญา อุดชาชน นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ และ นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ โดยให้เหตุผลว่า ไม่ควรยืดกระบวนการเกินควร
ทั้งนี้ หากผู้ถูกร้องไม่ยื่นคำชี้แจงภายในกำหนด ศาลรัฐธรรมนูญจะถือว่า “ไม่ติดใจที่จะยื่นคำชี้แจง” และดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปทันที ตามมาตรา 54 วรรคสาม ของกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561