วันที่ 17 กรกฎาคม 2568 ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ เป็นประธานการประชุมหารือความคืบหน้าคดีพิเศษที่ 24/2568 หรือที่สื่อเรียกกันว่า “คดีฮั้ว สว.” ซึ่งเกี่ยวข้องกับความผิดฐานฟอกเงินและความผิดฐานอั้งยี่ โดยมีหน่วยงานร่วมประชุม ได้แก่ อัยการพิเศษฝ่ายสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และคณะพนักงานสอบสวนดีเอสไอ
พ.ต.ต.ยุทธนา เปิดเผยหลังประชุมว่า การสอบสวนขณะนี้มีความคืบหน้าแล้วประมาณ 70% โดยได้สอบปากคำพยานแล้วเกือบ 90 ปาก แบ่งเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนจัดฮั้ว การรับโอนเงิน และกลุ่มที่มีบทบาทช่วยเหลือผู้สมัคร สว. จนได้รับเลือก ซึ่งกำลังรวบรวมหลักฐานเส้นทางการเงินจากหลายสิบช่องทาง
เบื้องต้นพบพฤติกรรมโอนเงินไปยังกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งทีมช่วยเหลือผู้สมัคร หรือที่ปรึกษาส่วนตัวของ สว. โดยมีความเกี่ยวพันกับนักการเมืองท้องถิ่นในกว่า 30 จังหวัด และมีแนวโน้มลุกลามถึงนักการเมืองระดับชาติ ทั้ง สส. และผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมือง
“ยังไม่มีการออกหมายเรียกผู้ต้องหาอย่างเป็นทางการในตอนนี้ เพราะยังอยู่ระหว่างการพิสูจน์เส้นทางการเงินให้แน่ชัด แต่ภายในเดือนหน้าจะสามารถดำเนินการได้” พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าว พร้อมระบุว่า ขณะนี้มีบุคคลที่เข้าข่ายความผิดมากกว่า 100 ราย โดยข้อหาที่อาจใช้ ได้แก่ ความผิดฐานฟอกเงิน, ความผิดฐานอั้งยี่ (รวมกลุ่มกระทำการมิชอบ) และ ความผิดเกี่ยวกับการได้มาซึ่ง สว. อย่างไม่สุจริต
บางรายก่อนหน้านี้เคยปฏิเสธการเกี่ยวข้อง โดยอ้างว่าเป็นค่าใช้จ่ายปกติ แต่จากพยานหลักฐาน ดีเอสไอพบว่า ในช่วงการเลือกตั้ง สว. มีการโอนเงินก้อนใหญ่ไปยังบุคคลต่างๆ ซึ่งตรงกับช่วงที่มีการลงสมัครและเลือกตั้ง สว.ที่ “อยู่ในโพย” อย่างมีนัยยะ
นายวิทยา นีติธรรม ผู้ช่วยเลขาธิการ ปปง. กล่าวเพิ่มเติมว่า ทาง ปปง. ได้เข้าร่วมพิจารณาในฐานะหน่วยสนับสนุนการติดตามทรัพย์สินที่เกี่ยวกับความผิด โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ทรัพย์ที่ได้จากการกระทำความผิด, ทรัพย์ที่สนับสนุนการกระทำความผิด, ทรัพย์ที่บุคคลอื่นถือแทนหรือเกี่ยวพัน
โดยเมื่อดีเอสไอมีความชัดเจนเรื่องบุคคลและพฤติกรรมที่เข้าข่ายความผิด ปปง. จะดำเนินการออกคำสั่งอายัดทรัพย์ไว้ชั่วคราวตามกฎหมายฟอกเงิน เพื่อเตรียมส่งเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป
ทั้งนี้ พ.ต.ต.ยุทธนา ยืนยันว่า แม้จะมีเจ้าหน้าที่จากดีเอสไอร่วมในคณะกรรมการสืบสวนฯ ของ กกต. ซึ่งกำลังดำเนินคดีตาม พ.ร.ป.เลือกตั้ง สว. แต่การทำงานของดีเอสไอเป็นอิสระและไม่ผูกพันกัน
"ใครจะถูกดำเนินคดีในส่วนของ กกต. ไม่ได้หมายความว่าจะต้องถูกดีเอสไอดำเนินคดีด้วย แต่หากมีพยานหลักฐานชัดเจนในเรื่องฟอกเงินหรืออั้งยี่ ก็จะดำเนินการแยกตามอำนาจหน้าที่" อธิบดีดีเอสไอ ระบุ