กางรายชื่อบิ๊กเนม "ในหมายเรียกกกต." พัวพันคดีฮั๊วเลือก สว.

16 มิ.ย. 2568 | 07:11 น.
อัปเดตล่าสุด :16 มิ.ย. 2568 | 07:21 น.

เปิดรายชื่อนักการเมืองดัง ในหมายเรียกล็อตที่ 7 จาก กกต. พัวพันคดีทุจริตเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา หรือ ฮั๊ว สว. ด้าน "อนุทิน-ชาดา" ยอมรับ ได้รับหมายเรียกแล้ว

จากกรณีที่มีรายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ว่า ได้ออกหนังสือแจ้งข้อกล่าวหา หรือ หมายเรียกล็อตที่ 7 บุคคลจำนวน 20 คน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทุจริตการเลือกตั้งวุฒิสภา หรือที่เรียกกันว่า "ฮั้วสว. 

 

โดยหมายเรียกดังกล่าว กกต.ออกเมื่อวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ให้ทั้งหมดมารับทราบข้อกล่าวหา โดยมีบางรายได้รับหมายเรียกดังกล่าวแล้ว 

สำหรับรายชื่อบุคคลตามหมายเรียก ล็อต 7  ของกกต. ที่มี 20 คน อาทิ 

  • นายเนวิน ชิดชอบ 
  • นายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย 
  • นายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร 
  • นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย 
  • นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง  พรรคภูมิใจไทย
  • นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ อดีต สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย และผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ 
  • นายธนยศ ทิมสุวรรณ หรือ อ๋อง สส.จังหวัดเลย  พรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นลูกชายของ นายก อบจ.เลย 
  • นายเจเศรษฐ์ ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ลูกชาย มนัญญา ไทยเศรษฐ์ อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ 
  • น.ส.บุณย์ธิดา สมชัย หรือ แนน สส.อุบลราชธานี และโฆษกพรรคภูมิใจไทย 
  • นายวรศิษฎ์ เลียงประสิทธิ์ สส.สตูล พรรคภูมิใจไทย

ด้าน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์วันนี้ (16มิ.ย.68) โดยยอมรับว่า ได้รับหนังสือแจ้งข้อกล่าวหา กรณีฮั้วเลือก สว. จาก กกต. ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วโดยส่งมาที่บ้าน จ.บุรีรัมย์ ซึ่งตนพร้อมให้ความร่วมมือทุกอย่างไม่ต้องกังวล เรามั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรเสียหาย เราก็ไปชี้แจงแน่นอน ไปตามกฎหมาย ไปยังไงชี้แจงยังไง เรื่องทางกฎหมายก็ต้องใช้ที่ปรึกษาทางกฎหมาย ต้องใช้ทนายความเพราะเราไม่ได้มีความรู้ลึก

 

นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับรอยร้าวในรัฐบาล แต่เป็นเรื่องการเมืองแน่นอน แต่มาจากใคร อะไร ยังไงคนในวงการรู้กันอยู่แล้ว เราพูดไม่ได้เราก็สู้ตามกฎหมายเพราะยังไงต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย มั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรผิด

 

สำหรับพรรคภูมิใจไทยประชุมกรรมการบริหารพรรค และ สส. ในช่วงเย็นวันนี้ เวลา 16.00 น. ตามปกติไม่นัดประชุมวันจันทร์ก็วันอังคารตลอด คราวนี้ใกล้เปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร และเป็นช่วงการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 จึงมีเรื่องต้องคุยและหารือกัน วันนี้ประชุมพรรคปกติ ไม่มีอะไร

 

เมื่อถามถึง กระแสข่าวการปรับ ครม. ที่พรรคภูมิใจไทยอาจต้องไปเป็นฝ่ายค้านหลังถูกขับจากรัฐบาลนั้น นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่มี มีแต่กระแสจากผู้สื่อข่าว ทุกอย่างเหมือนเดิม

 

“ผมกับท่านนายกรัฐมนตรีรักกันดี ผมกับท่านนายกรัฐมนตรีนะ ตอนนี้ผมก็เป็น “มท. 1”  ผมกับท่านนายกรัฐมนตรีไม่ได้คุยอะไรกัน ยังไม่ได้คุยอะไรกันเรื่องนี้ ทำงานดีกว่าฟังจนเบื่อหมดแล้ว”

 

ส่วน นายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี และแกนนำพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand” วันที่ 16 มิ.ย. 68 ยอมรับว่า คณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) บางส่วนรวมถึงนายเจเศรษฐ์ ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี ซึ่งเป็นหลานชายและรองเลขาธิการพรรค ได้รับหมายเรียกจากกกต. กรณีถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสมคบหรือฮั้วกันในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)

 

นายชาดาย้ำว่า พรรคภูมิใจไทยมั่นใจในความบริสุทธิ์ พร้อมให้ความร่วมมือกับกระบวนการสอบสวนอย่างเต็มที่ โดยขอให้ทุกฝ่ายเคารพในข้อเท็จจริง ไม่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมือง พร้อมเตือนว่า “อย่าให้ประเทศกลายเป็นรัฐที่ใช้อำนาจกฎหมายข่มขู่” และย้ำว่าพรรคภูมิใจไทยทำงานการเมืองภายใต้หลักเกียรติยศและศักดิ์ศรี ไม่หวั่นแรงกดดัน


ในวันเดียวกัน พรรคภูมิใจไทยมีการประชุม กก.บห.และ ส.ส. ซึ่งนายชาดาระบุว่าเป็นการนัดหมายล่วงหน้าช่วงปิดสมัยประชุมสภา ไม่เกี่ยวกับข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีการพูดถึงอย่างต่อเนื่อง พร้อมชี้ว่า “ข่าวการปรับ ครม.” ที่ถูกกระพือทุกวัน ส่งผลให้ข้าราชการเกิดความลังเล ส่งผลต่อการทำงานของรัฐโดยรวม พร้อมยืนยันว่า “เวลานี้ไม่ใช่ฤดูการเมือง แต่คือฤดูกาลผ่านงบประมาณปี 2569 ซึ่งสำคัญกว่า”

 

นายชาดากล่าวถึงข่าวลือเรื่องการเจรจาคืนเก้าอี้ รมว.มหาดไทยว่า ตนไม่ขอก้าวล่วง เป็นเรื่องของหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรีที่จะหารือร่วมกันในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล แต่ยืนยันว่าพรรคภูมิใจไทยพร้อมทำงานทุกด้านเพื่อประชาชน และไม่เคยท้าทายใครทั้งสิ้น


นายชาดาระบุว่า นักการเมืองต้องพร้อมทั้งในบทบาทฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน แต่ไม่ควรนำคำพูดบางตอนไปตีความผิดเจตนา พร้อมฝากสื่อมวลชนให้รายงานข่าวด้วยความรับผิดชอบ เพื่อไม่ให้กลายเป็นการบิดเบือนหรือบั่นทอนเสถียรภาพทางการเมือง.