วันนี้ (12 มิ.ย. 68) ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการพิจารณาคำร้องที่ นายณฐพร โตประยูร (ผู้ร้อง) ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 โดยอ้างว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้ถูกร้องที่ 1 และ เลขาธิการ กกต. ผู้ถูกร้องที่ 2 จัดการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน และเอื้อประโยชน์ให้พรรคภูมิใจไทย ผู้ถูกร้องที่ 3 กรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย ผู้ถูกร้องที่ 4 สมาชิกวุฒิสภา รายชื่อปรากฏตามสำนวนการสอบสวนของ กกต.
ผู้ถูกร้องที่ 5 นายเนวิน ชิดชอบ ผู้ถูกร้องที่ 6 นางกรุณา ชิดชอบ ผู้ถูกร้องที่ 7 นายทองเจือ ชาติกิจเจริญ กับพวก ผู้ถูกร้องที่ 8 นายศุภชัย โพธิ์สุ ผู้ถูกร้องที่ 9 นางสาววาริน ชิณวงศ์ ผู้ถูกร้องที่ 10 นายสมเจตน์ ลิมปะพันธุ์ ผู้ถูกร้องที่ 11และ นายสุบิน ศักดา ผู้ถูกร้องที่ 12 ร่วมกันกระทำการโดยทุจริตในกระบวนการเลือกสมาชิก วุฒิสภา
โดยผู้ถูกร้องที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 เป็นผู้ดำเนินการวางแผนและควบคุมกระบวนการทุจริต การเลือกสมาชิกวุฒิสภา ตั้งแต่การคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ ซึ่งดำเนินการจัดเตรียมผู้สมัครไว้ล่วงหน้าจากทุกกลุ่มอาชีพโดยการว่าจ้าง และจัดทำโพยการฮั้วให้ผู้สมัครลงคะแนน เลือก โดยประชุมวางแผนเกี่ยวกับวิธีการลงคะแนนเป็นการลับในสถานที่ต่าง ๆ
รวมทั้งสนับสนุนที่พัก ยานพาหนะ และค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับประเทศ ซึ่งผลการเลือกวุฒิสภาเป็นไปตามโพยการฮั้วดังกล่าว ทำให้ได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 138 คน และสำรองอีก จำนวน 2 คน อันเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ผู้ถูกร้องที่ 5 และที่ 8 ถึงที่ 12 เป็นผู้ดำเนินการตามแผนการทุจริตการเลือกสมาชิกวุฒิสภา ดังกล่าว เป็นผลให้ผู้ถูกร้องที่ 5 ได้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่เป็นสมาชิกวุฒิสภา แต่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวด้วยความไม่เป็นกลางทางการเมือง ไม่ซื่อสัตย์สุจริต และไม่เป็นไปตามกฎหมาย อีกทั้งเอื้อประโยชน์ให้กับ ผู้ถูกร้องที่ 3 ต่อการลงมติในประเด็นต่าง ๆ ของวุฒิสภา อันเป็นการกระทำที่ฝักใฝ่หรือยอมตนอยู่ใต้อาณัติ ของพรรคการเมือง
การกระทำของผู้ถูกร้องที่ 1 ถึงที่ 12 มีความเชื่อมโยงกันและร่วมกันทำเป็นขบวนการ ให้ได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา เพื่อใช้อำนาจปกครองประเทศโดยวิธีการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการกระทำ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
โดยผู้ถูกร้องที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ยังคงใช้อำนาจที่ได้มาโดยวิธีการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในการปกครองประเทศ มาอย่างต่อเนื่อง และหากยังคงใช้อำนาจดังกล่าวต่อไป จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงและเป็นภยันตราย ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันเป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง
ทั้งนี้ นายณฐพร ผู้ร้องยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด (อสส.) เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2568 แต่อัยการสูงสุดไม่ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสาม นายณฐพร ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่าการกระทำของผู้ถูกร้องที่ 1 ถึงที่ 12 เป็นการใช้สิทธิ หรือ เสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
และสั่งให้เลิกการกระทำดังกล่าว และสั่งให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคภูมิใจไทย รายชื่อตามสำนวนการสอบสวนของ สำนักงานกกต. หยุดปฏิบัติหน้าที่ นับตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อประโยชน์แก่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ว่าจะรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ ในชั้นนี้ จึงให้มีหนังสือแจ้งอัยการสูงสุด เพื่อขอทราบว่า ได้ดำเนินการตามคำร้องของนายณฐพรผู้ ร้องไปแล้วอย่างไร และรวบรวมพยานหลักฐานได้เพียงใด โดยให้จัดส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญ ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ