ข้อเท็จจริงมติครม. ไทยไม่รับอำนาจศาลโลก สู้ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา

06 มิ.ย. 2568 | 02:07 น.
อัปเดตล่าสุด :06 มิ.ย. 2568 | 02:16 น.

ตรวจสอบข้อเท็จจริงมติครม. ไม่รับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พบเป็นนโยบายทั่วไปที่กำหนดให้หน่วยงานราชการจัดทำข้อสงวนในสัญญาระหว่างประเทศใหม่ เพื่อป้องกันอำนาจอธิปไตย ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา

จากกรณีที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับข้อพิพาทพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา และมติคณะรัฐมนตรีที่ไม่รับอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ(ICJ) หรือ ศาลโลก หลังจากกัมพูชาออกแถลงการณ์พิเศษประกาศเดินหน้ากระบวนการทางกฎหมายระหว่างประเทศ นำข้อพิพาท 4 พื้นที่ชายแดน ได้แก่  "ช่องบก -ปราสาทตาเมือนธม -ปราสาทตาเมือนโต๊ด -ปราสาทตาควาย" เข้าสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

 

ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice - ICJ)

 

ความเป็นมาและการก่อตั้ง

 

ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือที่เรียกกันทั่วไปว่า "ศาลโลก" เป็นองค์กรตุลาการหลักขององค์การสหประชาชาติ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) โดยมีที่ตั้งอยู่ที่พระราชวังแห่งสันติภาพ (Peace Palace) ในกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ศาลแห่งนี้สืบทอดบทบาทมาจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศถาวร (Permanent Court of International Justice) ที่เคยดำเนินการภายใต้สันนิบาตชาติ

โครงสร้างและองค์กร

 

ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศประกอบด้วยผู้พิพากษา 15 คน ซึ่งได้รับการเลือกตั้งโดยสมัชชาใหญ่และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ผู้พิพากษาจะดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 9 ปี และสามารถได้รับการเลือกตั้งใหม่ได้ ในการเลือกตั้ง จะคำนึงถึงการกระจายตัวทางภูมิศาสตร์และระบบกฎหมายที่แตกต่างกันของโลก เพื่อให้เกิดความเป็นตัวแทนที่หลากหลาย

 

เขตอำนาจและหน้าที่

 

ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมีหน้าที่หลักสองประการ ประการแรกคือการพิจารณาคดีพิพาทระหว่างรัฐ ซึ่งเป็นหน้าที่หลักและมีความสำคัญมากที่สุด รัฐที่เป็นสมาชิกสหประชาชาติสามารถนำข้อพิพาทต่างๆ มาให้ศาลพิจารณาได้ แต่ทั้งสองฝ่ายจะต้องยอมรับเขตอำนาจของศาลก่อน ประการที่สองคือการให้คำปรึกษาทางกฎหมายแก่องค์กรต่างๆ ของสหประชาชาติและหน่วยงานพิเศษที่ได้รับอนุญาต

กระบวนการพิจารณาคดี

 

เมื่อมีรัฐใดรัฐหนึ่งยื่นคำร้องต่อศาล ศาลจะพิจารณาเบื้องต้นว่ามีเขตอำนาจในการพิจารณาคดีหรือไม่ หากศาลเห็นว่ามีเขตอำนาจ กระบวนการพิจารณาจะแบ่งออกเป็นสองขั้นตอนหลัก คือ ขั้นตอนการยื่นหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร และขั้นตอนการไต่สวนสมาชิก คำพิพากษาของศาลจะมีผลผูกพันต่อคู่กรณี และเป็นที่สุด ไม่สามารถอุทธรณ์ได้

 

ข้อจำกัดและความท้าทาย

 

แม้ว่าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะเป็นองค์กรตุลาการสูงสุดในระดับโลก แต่ก็มีข้อจำกัดสำคัญหลายประการ ข้อจำกัดที่สำคัญที่สุดคือหลักการยินยอม (Consent) ซึ่งหมายความว่าศาลจะสามารถพิจารณาคดีได้ก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยอมรับเขตอำนาจของศาล นอกจากนี้ ศาลยังไม่มีกลไกบังคับใช้คำพิพากษาโดยตรง ต้องอาศัยความร่วมมือจากรัฐสมาชิกและกดดันทางการเมืองระหว่างประเทศ

 

ความจริงเบื้องต้นของมติคณะรัฐมนตรี

 

อย่างไรก็ตามฐานเศรษฐกิจตรวจสอบมติครม. จากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี พบว่ามติครม.นี้เป็นนโยบายทั่วไปที่กำหนดให้หน่วยงานราชการจัดทำข้อสงวนไม่รับอำนาจของศาล ICJ ในทุกสัญญาระหว่างประเทศที่จะลงนามในอนาคต เป็นมาตรการป้องกันทั่วไปเพื่อรักษาอำนาจอธิปไตย ไม่ใช่การตัดสินใจเฉพาะกรณี ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาแต่อย่างใด

 

หนังสือด่วนที่สุด เรื่อง การจัดทำข้อสงวนไม่รับอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ลงวันที่ 15 มีนาคม 2567 ที่นางณัฐฎ์จารี อนันตศิลป์ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ส่งถึงหน่วยงานราชการต่างๆ  ระบุว่า ด้วยในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12มีนาคม 2567 คณะรัฐมนตรีได้พิจารณา เกี่ยวกับการจัดทำข้อสงวนเพื่อเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคน จากการบังคับให้หายสาบสูญ (International Convention for the Protection of all Persons from Enforced Disappearance : ICPPED) ของกระทรวงยุติธรรม แล้ว

 

ลงมติเป็นหลักการให้ทุกส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดว่า ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจัดทำหนังสือสัญญา ซึ่งมีข้อบท ให้อำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice : ICJ) มีเขตอำนาจเหนือข้อพิพาท ตามหนังสือสัญญานั้น ให้จัดทำข้อสงวนไม่รับอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไว้ทุกเรื่อง เพื่อมิให้ กระทบต่ออำนาจอธิปไตยของชาติ ตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

มติครม. ไม่รับอำนาจศาลโลก

 

ล่าสุดรัฐบาลไทยได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 เกี่ยวกับจุดยืนของรัฐบาลไทยต่อกรณีปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ยืนยันว่า ตั้งแต่เกิดเหตุปะทะบริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงร่วมกันใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ได้แก่ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC), คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) โดยยึดหลักความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งเป็นผลจากการหารือระดับผู้บัญชาการทหารบกของทั้งสองประเทศเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568

 

ส่วนของข้อเสนอจากฝั่งกัมพูชา ที่แสดงความตั้งใจจะยื่นเรื่องเข้าสู่กระบวนการของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) รัฐบาลไทยได้ย้ำจุดยืนชัดเจนว่า ประเทศไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจของ ICJ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 จนถึงปัจจุบัน และเห็นว่า ทั้งสองประเทศได้มีข้อตกลงและกลไกที่ใช้แก้ไขปัญหาชายแดนร่วมกันอยู่แล้วตั้งแต่แรก