จากกรณีที่มีเหตุการณ์ปะทะด้วยกำลังระหว่างทหารไทยและกัมพูชาบริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ซึ่งมีสาเหตุมาจากข้อพิพาทเขตแดนในพื้นที่ดังกล่าว
ล่าสุด พลเอก กฤษณะ บวรรัตนารักษ์ อดีตรองเจ้ากรมพระธรรมนูญ ออกข้อสังเกตทางกฎหมายเบื้องต้นเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อให้เข้าใจถึงแนวทางและข้อจำกัดต่าง ๆ ในการดำเนินการตามกฎหมายระหว่างประเทศ และบทบาทของคณะกรรมการร่วมระหว่างสองประเทศ ซึ่งมีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้
1. สรุปหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่สำคัญกรณีการพิพาทเขตแดน :
ให้ประเทศ ที่ขัดแย้งเรื่องเขตแดนเจรจากันโดยสันติวิธี ซึ่งที่ผ่านมาในภูมิภาคต่าง ๆ ในโลกนี้ มีหลายกรณีที่มี เรื่องพิพาทเขตแดน ซึ่งใช้ระยะเวลานานกว่าที่จะเจรจาตกลงกันได้ และมีหลายกรณีที่ยังตกลงกันไม่ได้ จึงไม่อาจคาดคะเนได้ว่าการเจรจาระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา จะสามารถหาข้อยุติอัน เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้เมื่อไร
2. ช่องทางหรือกลไกที่อาจมีการนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาพิพาทเขตแดน :
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice) หรือ “ศาลโลก” ซึ่งเป็นองค์กร ในสังกัดของสหประชาชาติ ตั้งอยู่ที่ กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ ทำหน้าที่เป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด โดยประเทศคู่พิพาทขัดแย้งทุกฝ่ายจะต้องยอมรับอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจึงมีผลผูกพันกับประเทศคู่พิพาท สำหรับประเทศไทยนั้น คณะรัฐมนตรีได้ลงมติเมื่อ 12 มีนาคม 2567 เป็นหลักการให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ ยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ซึ่งมีใจความสำคัญสรุปได้ว่า “ไม่ให้ยอมรับอำนาจของศาลยุติธรรม ระหว่างประเทศในทุกเรื่อง เพื่อมิให้กระทบต่ออำนาจอธิปไตยของชาติ”
3. คณะกรรมการร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาในการแก้ไขข้อพิพาท :
ตามที่ปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณชนว่า ไทยและกัมพูชาจะใช้กลไก คณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (Joint Boundary Commission - JBC) คณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย – กัมพูชา (General Border Committee - GBC) และ คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย – กัมพูชา (Regional Border Committee – RBC) เพื่อแก้ไขกรณีพิพาทเรื่องเขตแดนนั้น ขอให้ข้อมูลทั่วไปสำหรับผู้ที่ไม่ทราบรายละเอียดกลไก การทำงานของคณะกรรมการของทั้งสามคณะว่า คณะกรรมการฯ จะประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ของ ทั้งสองประเทศที่มีจำนวนเท่ากันและจะทำหน้าที่เป็นประธานร่วมกัน ไม่มีการลงมติเสียงข้างมาก เสียงข้างน้อย มีแต่มีมติเห็นชอบพ้องกันทั้งสองฝ่าย ดังนั้น หากมีความเข้าใจที่ถูกต้องถึงอำนาจ หน้าที่ของคณะกรรมาการทั้งสามคณะ ก็จะทำให้เข้าใจได้ว่าอาจตกลงกันได้หรือไม่อาจตกลงกันได้ เพราะองค์ประกอบของคณะกรรมการมากจากผู้แทนประเทศไทยและกัมพูชาเท่านั้น ไม่มีคนนอกหรือคนกลางที่มีสัญชาติอื่น (ที่มิใช่สัญชาติไทยและสัญชาติกัมพูชา) ทำหน้าที่เป็นประธานชี้ขาดประเด็น ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นต่างกันแต่อย่างใด
4. การรุกล้ำและการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ชายแดน :
ทุกครั้งที่ปรากฏว่ามีการรุกล้ำเข้ามาในดินแดนราชอาณาจักรไทยโดยกองกำลัง หรือประชาชนของกัมพูชา รวมทั้งการก่อสร้าง การดัดแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน และการจัดกิจกรรมที่ไม่อาจยอมรับได้หรือส่งผลเสียต่ออำนาจอธิปไตยของราชอาณาจักรไทยนั้น หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจะต้องรีบแจ้งเตือนและทำการประท้วงอย่างเป็นทางการไปยังฝ่าย กัมพูชาเสมอ รวมทั้งต้องแจ้งให้รื้อสิ่งปลูกสร้างและทำให้สภาพแวดล้อมให้กลับสู่สภาพเดิม ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขต แดนทางบก (Memorandum of Understanding between the Government of the Kingdom of Thailand and the Kingdom of Cambodia on the Survey and Demarcation of Land Boundary) หรือที่เรียกว่า “MOU 43” ซึ่งมีการลงนาม เมื่อ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) กำหนดให้งดเว้นการดำเนินการใด ๆ ที่มีผลเป็น การเปลี่ยนแปลงสภาพสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน ตลอดจนแจ้งให้กระทรวงการต่างประเทศ ทราบเพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
5. การดูแลร่องรอยประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมชายแดน :
ร่องรอยประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมในพื้นที่ชายแดน อาจถูกนำไป ประกอบการพิจารณาในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเขตแดน จึงเป็นประเด็นสำคัญที่หน่วยงานของรัฐไม่อาจมองข้ามได้ ควรติดตามอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและจะต้องรีบแก้ไขอย่างทันท่วงที โดยจะต้องมีการจดบันทึกไว้อย่างเป็นทางการ และบางกรณีอาจต้องมีการประท้วงหรือแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องแล้วแจ้งไปยังฝ่ายกัมพูชา
6. ความระมัดระวังในการใช้ถ้อยคำของหน่วยงานรัฐ :
ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐจะต้องระมัดระวังการใช้คำในการให้ สัมภาษณ์ของผู้แทนหน่วยหรือแถลงการณ์ของหน่วยงานที่เกี่ยวกับกรณีพิพาทเขตแดน กล่าวคือ จะต้องใช้คำที่ถูกต้องซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ เช่น ยืนยันว่าเป็น “ดินแดนของราชอาณาจักรไทย” ไม่ใช่ “พื้นที่ทับซ้อน” เนื่องจากการให้สัมภาษณ์ของ เจ้าหน้าที่รัฐและแถลงการณ์ของหน่วยงานของรัฐจะมีผลผูกพันกับรัฐบาลไทยและประเทศไทย การใช้คำที่ผิดอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศโดยกรม สนธิสัญญาและกฎหมายอาจกำหนดแนวทางการใช้คำที่ถูกต้องและเหมาะสม เพื่อให้หน่วยงานที่ เกี่ยวข้องยึดถือปฏิบัติให้เป็นในแนวทางเดียวกันและเป็นเอกภาพ หรือหากหน่วยงานใดของรัฐ ประสงค์ที่จะออกแถลงการณ์เกี่ยวกับการพิพาทเขตแดน ก็ควรส่งให้กระทรวงการต่างประเทศร่วม พิจารณาด้วย
การแก้ไขปัญหาพิพาทเขตแดนไทย – กัมพูชา โดยคณะกรรมการร่วม ทั้งสามคณะ เป็นทางออกที่เหมาะสมภายใต้หลักกฎหมายระหว่างประเทศ โดยไม่จำเป็นต้องให้ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง หากฝ่ายกัมพูชาละเมิด MOU 43 หน่วยงานของรัฐ จะต้องรีบดำเนินการประท้วงและแจ้งให้ฝ่ายกัมพูชากระทำการแก้ไขให้ถูกต้อง และการให้ สัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐและแถลงการณ์ของหน่วยงานของรัฐ ควรมีการปรึกษาหารือกับ กระทรวงการต่างประเทศก่อน