คดีข้าว“ยิ่งลักษณ์”ย้อนศรรัฐบาลแพทองธาร เรียกเสียหายหมื่นล้าน

28 พ.ค. 2568 | 00:00 น.

รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร เผชิญปัญหาการเมืองซับซ้อนมากขึ้น เมื่อศาลปกครองสูงสุดส่งภาระให้ออกคำสั่งเรียกค่าเสียหายชดใช้ระบายข้าว 1 หมื่นล้านบาท จาก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

KEY

POINTS

 

  • ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ยิ่งลักษณ์ ต้องรับผิดชอบการระบายข้าวแบบ G2G ซึ่งมีความเสียหายกว่า 20,000 ล้านบาท โดยศาลลดยอดเรียกชดใช้ลงเหลือ 10,028 ล้านบาท 
  • ศาลแยกแยะระหว่าง “ความรับผิดชอบทางการเมือง” กับ “ความรับผิดชอบทางปกครอง” โดยการกระทำนี้ถือเป็น “ความบกพร่องในการบริหารราชการแผ่นดิน” จึงต้องชดใช้ความเสียหายตามกฎหมาย
  • รัฐบาลแพทองธาร ต้องดำเนินการตามคำพิพากษา ออกคำสั่งใหม่เรียกเก็บเงินจาก ยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นอาของตนเอง หากไม่ดำเนินการอาจเข้าข่ายความผิด มาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 แม้ว่าศาลจะลดยอดเรียกค่าเสียหายจาก นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จาก 35,717 ล้านบาท เหลือ 10,028 ล้านบาท แต่กลายเป็นจุดเปลี่ยนของรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร  

แม้จะมีการตีความข่าวผิดพลาดว่า ศาลสั่งให้จ่ายเงิน แต่ความจริงคือ ศาลเพียงลดยอดเรียกเก็บ และส่งภาระให้หน่วยงานรัฐออกคำสั่งใหม่ดำเนินการตามกฎหมาย การตัดสินนี้เน้นการทุจริตระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G2G) เฉพาะ 4 สัญญา ไม่ใช่ความขาดทุนจากนโยบายโดยรวม

การนำตัวเลข "ผลขาดทุนของโครงการรับจำนำข้าว" กับ "การทุจริต G2G ที่ต้องรับผิดชอบ" จะเห็นภาพที่ชัดเจน 

“ยิ่งลักษณ์”ต้องชดใช้ 10,028 ล้าน

หากศาลตัดสินให้ ยิ่งลักษณ์ รับผิดต่อความขาดทุนของโครงการจำนำข้าวทั้งหมด ตัวเลขจะสูงมากกว่านี้ เพราะโครงการรับจำนำข้าว 3 ปีนั้น ตามรายงานวิจัยของ TDRI ใช้เงินไป 881,262 ล้านบาท และมีผลขาดทุนทางบัญชี 539,000-660,000 ล้านบาท  

 แต่ ยิ่งลักษณ์ ต้องชดใช้เพียง 10,028 ล้านบาท เฉพาะการทุจริต G2G เท่านั้น ความแตกต่างของตัวเลขนี้สะท้อนหลักการที่ศาลยึด คือ การแยกแยะระหว่างความรับผิดชอบทางการเมือง กับ ความรับผิดชอบทางปกครอง 

คำพิพากษาครั้งนี้สะท้อนหลักการสำคัญในการแยกแยะความรับผิดชอบทางการเมือง กับ ความรับผิดชอบทางปกครอง ศาลระบุชัดเจนว่า ยิ่งลักษณ์ในฐานะผู้กำหนดนโยบายไม่ต้องรับผิดชอบต่อความขาดทุนของโครงการ แต่ในฐานะผู้บริหารที่ปล่อยให้การทุจริตเกิดขึ้น ต้องรับผิดชอบ

นางสาวสายทิพย์ สุคติพันธ์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ในฐานะกรรมการประชาพันธ์ศาลปกครอง อธิบายว่า "โครงการจำนำข้าวนั้นประกอบด้วยหลายขั้นตอน ศาลวินิจฉัยว่า อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ในส่วนที่ทำหน้าที่กำหนดนโยบายนั้น ไม่ต้องมีความรับผิด"  

แต่ในส่วนของการปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการนโยบายข้าว (กขช.) ที่ควบคุมการปฏิบัตินโยบาย ศาลเห็นว่า ยิ่งลักษณ์มีความผิด เพราะการระบายข้าวแบบ G2G มีปัญหาการทุจริต มีหลายหน่วยงานรายงานเข้ามา แต่เธอไม่ได้ติดตามกำกับดูแลตรวจสอบการทุจริตในส่วนนี้

การทุจริตที่ศาลถือว่ายิ่งลักษณ์ต้องรับผิดชอบ เกิดขึ้นจากการระบายข้าวแบบ G2G ระหว่างปี 2555-2556 ผ่านสัญญาซื้อขายข้าว 4 ฉบับ โดยอ้างว่าเป็นการขายให้กับรัฐวิสาหกิจจีน ได้แก่ บริษัท Guangdong และ Hainan  

แต่ความจริงแล้ว บริษัททั้งสองไม่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลจีนให้มาซื้อข้าวแบบ G2G การทำสัญญาเป็นการปลอมแปลงข้อเท็จจริง โดยข้าวที่อ้างว่าจะส่งไปจีน กลับถูกขายให้เอกชนในไทยในราคาต่ำกว่าตลาด สร้างความเสียหายให้รัฐ 20,057 ล้านบาท  

ศาลเห็นว่า ยิ่งลักษณ์ได้รับการแจ้งเตือนจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และสำนักงาน ป.ป.ช. เกี่ยวกับการทุจริตแล้ว มีสมาชิกสภาฯ ตั้งกระทู้ถามและเสนอญัตติไม่ไว้วางใจ แต่เธอไม่ดำเนินการใดๆ เพื่อระงับยับยั้งการทุจริต 

ในฐานะประธาน กขช. ยิ่งลักษณ์เข้าร่วมประชุมเพียงครั้งเดียว ไม่ได้ติดตามควบคุมการดำเนินงานอย่างจริงจัง เมื่อได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ว่า "ไม่มีการทุจริต" ก็เชื่อเอาเฉยๆ ทั้งที่รายงานนั้นขัดแย้งกับผลการตรวจสอบของหน่วยงานอิสระ

ศาลไม่สั่งจ่ายแค่ลดยอดเรียกเก็บ 

ประเด็นสำคัญที่สร้างความเข้าใจผิดคือ ศาลปกครองไม่ได้สั่งให้ยิ่งลักษณ์ จ่ายเงิน 10,028 ล้านบาท เพราะนี่เป็นคดีฟ้องเพิกถอนคำสั่ง ไม่ใช่คดีเรียกค่าเสียหาย ศาลเพียงแต่บอกว่า กระทรวงการคลังเรียกเงินมากเกินไป 

คำพิพากษาระบุให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1351/2559 "เฉพาะส่วนที่ให้ยิ่งลักษณ์รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกินกว่าจำนวน 10,028,861,880.83 บาท" หมายความว่า ส่วนที่เหลือ 10,028 ล้านบาท ยังคงมีผลบังคับใช้ 

นางสาวสายทิพย์ อธิบายว่า "การดำเนินการใดใดจากนี้ไปเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงการคลัง สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงคลัง กรมบังคับคดี อธิบดีกรมบังคับคดี และ เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีแพ่ง กรุงเทพมหานคร ต้องไปดำเนินการออกคำสั่งใหม่และปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำพิพากษา”

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์นี้สร้างความกดดันให้ รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ต้องเผชิญกับภาระทางการเมืองที่ซับซ้อน เพราะต้องดำเนินการตามคำพิพากษาศาล โดยออกคำสั่งใหม่เรียกเก็บเงิน 10,028 ล้านบาท จากยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นอาสาวของตน 

กระบวนการนี้จะเป็นการทดสอบความเป็นอิสระของรัฐบาล เพราะแม้จะมีความสัมพันธ์ทางครอบครัว แต่หน้าที่ของรัฐในการดำเนินการตามคำพิพากษาศาลไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ 

หากรัฐบาลไม่ดำเนินการ อาจถูกมองว่าเลือกปฏิบัติ หรือ ขัดต่อหลักนิติธรรม แต่หากดำเนินการตามกฎหมาย ก็อาจสร้างแรงกดดันทางการเมืองภายในครอบครัวชินวัตร

                             คดีข้าว“ยิ่งลักษณ์”ย้อนศรรัฐบาลแพทองธาร เรียกเสียหายหมื่นล้าน

ขั้นตอนต่อไปเจ้าหนี้ vs ลูกหนี้

นางสาวสายทิพย์ อธิบายว่า ขั้นตอนต่อไปเป็นกระบวนการของเจ้าหนี้กับลูกหนี้ปกติ โดยกระทรวงการคลังถือเป็นเจ้าหนี้ที่ต้องไปตามเอาค่าเสียหายคืนมา ส่วนยิ่งลักษณ์เป็นลูกหนี้  

กระทรวงการคลังต้องออกมาตรการ อาจเป็นการแจ้งให้เอาเงินมาชำระ หากไม่มีการชำระ อาจมีการดำเนินการยึดอายัดทรัพย์สินต่อไป ส่วนระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับกฎหมายของกระทรวงการคลัง 

สำหรับข้อเสนอของทนายความยิ่งลักษณ์ ที่อาจมีการหักลบกลบหนี้กับยอดขายข้าวก่อนหน้านี้ นางสาวสายทิพย์ ระบุว่า หากต้องการทบทวนคำพิพากษา ต้องใช้มาตรา 75 ของกฎหมายวิธีพิจารณาคดีปกครอง โดยต้องยื่นคำขอภายใน 90 วัน และต้องมีข้อเท็จจริงใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ  

การที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้หน่วยงานรัฐออกคำสั่งใหม่เรียกค่าเสียหาย 10,028 ล้านบาทจากยิ่งลักษณ์นั้น สร้างภาระผูกพันทางกฎหมายที่รัฐบาลแพทองธาร ไม่สามารถเพิกเฉยได้ หากเลือกที่จะไม่ดำเนินการตามคำพิพากษา อาจเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ 

มาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติว่า "ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ คำพิพากษาที่เกี่ยวข้อง" 

3ทางเลือกรัฐบาลแพทองธาร

ในกรณีนี้ หาก นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเลือกที่จะไม่ออกคำสั่งตามที่ศาลกำหนด อาจถือได้ว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะคำพิพากษาของศาลมีผลผูกพันและต้องดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษา 

หากหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งในห่วงโซ่นี้ เลือกที่จะไม่ดำเนินการ ก็อาจถูกดำเนินคดีในฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงอาจมีการใช้มาตรการทางวินัยภายในหน่วยงาน 

นอกจากนี้ หากไม่มีการดำเนินการภายในระยะเวลาที่สมควร ผู้เสียหาย หรือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถยื่นคำร้องต่อศาลให้มีการบังคับใช้คำพิพากษา หรือ อาจมีการฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ 

“รัฐบาลแพทองธาร” มีตัวเลือกที่จำกัดในการจัดการกับสถานการณ์นี้ ตัวเลือกแรก คือ การดำเนินการตามคำพิพากษาอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งแม้จะสร้างความกดดันภายในครอบครัว แต่จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นอิสระของรัฐบาลและการยึดมั่นในหลักนิติธรรม

ตัวเลือกที่สอง คือ การชะลอการดำเนินการด้วยเหตุผลทางเทคนิค แต่วิธีนี้มีความเสี่ยงสูง ที่จะถูกตีความว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ และอาจนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์   

ตัวเลือกที่สาม คือ การหาทางออกผ่านกระบวนการเจรจา หรือ การหักลบหนี้ตามที่ทนายความยิ่งลักษณ์เสนอไว้ แต่วิธีนี้ต้องผ่านกระบวนการทางกฎหมายที่ซับซ้อนและอาจใช้เวลานาน 

คำพิพากษาครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการปิดคดีทางกฎหมาย แต่กลับเป็นลูกศรย้อนกลับไปยังรัฐบาลแพทองธาร 


รายงานพิเศษ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4100 หน้า 12 ระหว่างวันที่ 29-31 พ.ค. 2568