วันนี้ (27 พ.ค.68) ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษาประธานอาเซียนด้านยุทธศาสตร์พหุภาคี กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ มุมมอง และความท้าทายต่อการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน” โดยระบุว่า ปัญหายาเสพติดในประเทศไทยอยู่ในระดับ “วิกฤต” พร้อมประกาศตัวลงพื้นที่จริง เพื่อติดตามสถานการณ์และรายงานตรงถึงนายกรัฐมนตรี
“วันนี้เยาวชนของเราถูกทำลายด้วยยาเสพติด ไม่มีอะไรที่รอได้อีกแล้ว ต้องลงมือทันที อย่าปล่อยให้ข้าศึกอยู่ในบ้านเรา”
นายทักษิณ ยังชี้ว่า ปัจจุบันแหล่งผลิตยาสำคัญกระจุกอยู่ในพื้นที่ “กลุ่มว้าแดง” รัฐฉาน ประเทศเมียนมา โดยมีผู้ค้ารายย่อยกระจายอยู่ในหมู่บ้านไทย ขณะที่ผู้มีอำนาจในท้องถิ่นหลายแห่งรู้เห็นเป็นใจ หรือ “ทำเป็นไม่รู้” ส่งผลให้ปัญหายาเสพติดฝังรากลึกในสังคม
“ในหมู่บ้านไม่มีใครไม่รู้ว่าใครเป็นคนขายยา เจ้าหน้าที่ก็รู้ แต่บางคนเลือกไม่เห็น นี่คือภัยใกล้ตัวที่ต้องจัดการ”
อดีตนายกฯ ระบุด้วยว่า ไทยมีหน่วยงานเกี่ยวข้องกับการปราบปรามยาเสพติดมากถึง 29 หน่วยงาน แต่ขาดเอกภาพในการทำงาน พร้อมเรียกร้องให้ตำรวจ ทหาร ศุลกากร และ กระทรวงมหาดไทย ทำงานประสานกันภายใต้แผนงานที่ชัดเจน
นายทักษิณ เปิดเผยว่า ตนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำระดับสูงของเมียนมา และ ลาว และอาจใช้ความสัมพันธ์นี้เพื่อประสานการซีลชายแดน ปิดเส้นทางลำเลียงยาเสพติด โดยเฉพาะตามแนวแม่น้ำโขงและช่องทางธรรมชาติ พร้อมเสนอให้ใช้ “วิธีสากลที่เด็ดขาด” จัดการแหล่งผลิต หากรัฐบาลเมียนมาไม่สามารถควบคุมได้
“ถ้าเขาจัดการไม่ได้ เราอาจต้องขออนุญาตจัดการเอง มันคือศัตรูของชาติ เราอย่าปรานีศัตรู”
นายทักษิณ เสนอแนวทางในการฟื้นฟูชุมชนและบำบัดผู้ติดยาให้กลับสู่สังคมอย่างยั่งยืน ด้วยการตั้งศูนย์ฟื้นฟูในระดับอำเภอ พร้อมฝึกอาชีพให้ผู้ผ่านการบำบัด และทำให้ชุมชน “ปลอดยาเสพติดโดยเด็ดขาด”
อดีตนายกฯ ย้ำว่า การบริหารราชการในรูปแบบเดิมนั้นล้มเหลว ต้องเปลี่ยนมาใช้การบริหารเชิงเป้าหมายแบบองค์กร เรียกร้องให้กระทรวงมหาดไทย และ ตำรวจ ร่วมวางแผนล้างบางกลุ่มผู้ค้ายาในพื้นที่อย่างจริงจัง พร้อมยกตัวอย่างการตรวจแบบ “เอ็กซ์เรย์ทุกตารางนิ้ว” ที่เคยใช้ในอดีต
“ผมจะขออนุญาตนายกฯ แวะลงพื้นที่รายงาน รมว.มหาดไทย และ ผบ.ตร. เอง ว่า หมู่บ้านไหนยังมีคนค้ายา ผมจะขี้ฟ้องสักหน่อย”
อดีตนายกฯ ยังไม่ลืมพาดพิงถึงบทบาทของ กอ.รมน. ซึ่งมีงบประมาณกว่า 7,000 ล้านบาท พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า หากไร้บทบาทในภารกิจปราบยาเสพติด ก็ควรถูกยุบ
ในช่วงท้าย นายทักษิณ กล่าวถึงปัญหาแฝงอื่นๆ เช่น แก๊งสแกมเมอร์ การลักลอบค้าอาวุธ น้ำมันเถื่อน และสินค้าเกษตรผิดกฎหมาย ที่ใช้ช่องทางเดียวกับขบวนการยาเสพติด พร้อมระบุว่า จะหารือกับจีนอย่างจริงจัง และเตือนข้าราชการไทยให้ “อย่าเฉย”
“อย่าคิดว่าการไม่ทำคือไม่ผิด ต้องเริ่มเปลี่ยนความคิด และลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ควรทำ เพื่ออนาคตของลูกหลาน”
นายทักษิณ ยังกล่าวถึงความสำคัญของกระทรวงศึกษาธิการและสาธารณสุข ที่ต้องเข้ามาร่วมขับเคลื่อนการป้องกันและบำบัด พร้อมตั้งคำถามปลายเปิดว่า ไทยมีข้อมูลแค่ไหนเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างผู้ค้ารายย่อยกับเครือข่ายรายใหญ่ในประเทศเพื่อนบ้าน
ก่อนจะทิ้งท้ายว่า “ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ ถ้าได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงจัง”