การแต่งตั้งรัฐมนตรีในรัฐบาลแต่ละครั้ง นายกรัฐมนตรีต้องส่งรายชื่อผู้ได้รับการเสนอชื่อไปยัง สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เพื่อดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติอย่างละเอียด หนึ่งในขั้นตอนสำคัญคือ ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจะต้องกรอก "แบบประวัติ" และ "แบบแสดงข้อมูลการถือหุ้น" เพื่อยืนยันว่ามีคุณสมบัติตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนด
สลค. มีหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลที่กรอกมา โดยอ้างอิงกับฐานข้อมูลจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อป้องกันการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 ซึ่งห้ามรัฐมนตรีถือหุ้นในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับกิจการของรัฐ หรือมีผลประโยชน์ใด ๆ ที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง
ปมปัญหาการถือหุ้นของ"พีระพันธุ์"
ล่าสุด มีการเปิดเผยเอกสาร "แบบแสดงข้อมูลการถือหุ้น" ของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่งตั้งข้อสงสัยว่า อาจมีปัญหาด้านข้อกฎหมายเกี่ยวกับคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรี
ในเอกสารดังกล่าว นายพีระพันธุ์ ระบุใน ข้อ 1 ว่า "ไม่มีหุ้นหรือหุ้นส่วนในบริษัทใด ๆ"
แต่ใน ข้อ 2.2 กลับระบุว่า คู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมีการถือหุ้นในบริษัทจำกัด แม้ว่าสัดส่วนหุ้นที่ถือจะไม่เกิน 5% ก็ตาม
แม้ตัวของ นายพีระพันธุ์ จะไม่ได้ถือหุ้นโดยตรง แต่รัฐธรรมนูญ และ พระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ. 2543 กำหนดว่า ไม่ใช่เพียงตัวรัฐมนตรีเท่านั้น ที่ต้องไม่มีผลประโยชน์จากหุ้น แต่ยังรวมถึงผลประโยชน์ที่อาจได้จาก คู่สมรสและบุตร ด้วย
รายชื่อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการถือหุ้น
ข้อมูลการถือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ นายพีระพันธุ์ และครอบครัว ประกอบด้วยบริษัทต่าง ๆ เช่น
บริษัท รพีโสภาค จำกัด
บริษัท โสภา คอลเล็คชั่นส์ จำกัด
บริษัท วีพี แอโร่เทค จำกัด
บริษัท พี แอนด์ เอส แลนด์ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด
ประเด็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
การถือหุ้นดังกล่าว อาจเข้าข่ายละเมิดกฎหมาย ดังนี้
รัฐธรรมนูญ มาตรา 187 : ห้ามรัฐมนตรีถือหุ้นหรือมีผลประโยชน์จากหุ้น
รัฐธรรมนูญ มาตรา 160(5) : กำหนดให้รัฐมนตรีต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต และไม่มีลักษณะต้องห้าม
พ.ร.บ.การจัดการหุ้นฯ พ.ศ. 2543 : กำหนดให้รัฐมนตรีโอนหุ้นออกจากตัวเองภายในระยะเวลาที่กำหนด และแจ้งต่อ ป.ป.ช.
หาก นายพีระพันธุ์ กรอกข้อมูลในแบบประวัติว่า "ไม่มีหุ้นใด ๆ" แต่ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลการถือหุ้นของคู่สมรสและบุตร อาจถูกมองว่า "กรอกข้อมูลเท็จ" หรือ "ปกปิดข้อมูลสาระสำคัญ" ทำให้นายกรัฐมนตรีตัดสินใจแต่งตั้งโดยไม่ทราบข้อเท็จจริงครบถ้วน
แม้สัดส่วนหุ้นที่คู่สมรสหรือบุตรถือ จะไม่เกิน 5% และอาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับกิจการของรัฐโดยตรง แต่หากมีการได้ประโยชน์ระหว่างดำรงตำแหน่ง ก็อาจเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ
สลค.ตรวจสอบข้อมูลอย่างไร?
ประเด็นสำคัญที่ถูกตั้งคำถามคือ สลค. ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบเอกสาร ได้มีการตรวจพบข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นเหล่านี้หรือไม่?
หากตรวจพบแล้ว เหตุใดจึงไม่แจ้งต่อนายกรัฐมนตรีก่อนนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ หรือหากไม่พบ แสดงว่าระบบการตรวจสอบของสลค.อาจมี "ช่องโหว่" หรือ "ขาดความรัดกุม"
เพราะการตรวจสอบข้อมูลหุ้นของผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับ ความชอบธรรมของรัฐบาลทั้งคณะ หากมีการตรวจสอบผิดพลาด อาจนำไปสู่การฟ้องร้อง และส่งผลให้ต้องพ้นจากตำแหน่ง
ชนวนใหม่เขย่ารัฐบาล
กรณีการถือหุ้นของ นายพีระพันธุ์ อาจกลายเป็น "ชนวนใหม่" ที่ฝ่ายตรงข้ามใช้ในการโจมตีรัฐบาล หากมีการยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. หรือศาลรัฐธรรมนูญ และหากศาลรับเรื่องและพิจารณาว่าเข้าข่ายขาดคุณสมบัติ อาจนำไปสู่การวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งตาม มาตรา 170(4) ของรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ ความรับผิดชอบของ นายกฯ แพทองธาร ผู้ทำการแต่งตั้ง ก็จะถูกตั้งคำถามว่า ได้ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติของรัฐมนตรีอย่างละเอียดถี่ถ้วนหรือไม่
ท่าทีของพีระพันธุ์
จนถึงขณะนี้ นายพีระพันธุ์ ยังไม่ได้ออกมาแถลงข่าวหรือชี้แจงอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับประเด็นการถือหุ้นดังกล่าว และยังคงปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานตามปกติ
จะมีก็เพียง นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาชี้แจงว่า การยื่นเรื่องตรวจสอบคุณสมบัติรัฐมนตรีเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล และ นายพีระพันธุ์ เองก็ไม่ได้รู้สึกหนักใจ ยังมุ่งมั่นทำงานผลักดันนโยบายด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง
ก่อนหน้านั้น นายพีระพันธุ์ เคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี ว่า ได้ยินข่าวลือมานานแล้ว และไม่รู้สึกกังวลหากจะถูกปรับออกจากตำแหน่ง เพราะมองว่าการดำรงตำแหน่งหรือไม่ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องยึดติดหรือพยายามรักษาไว้