กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา เมื่อปรากฏข้อมูลชี้ชัดว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน อาจเข้าข่ายขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 จากกรณียังมีชื่อเป็นกรรมการในบริษัทเอกชน แม้จะมีการโอนหุ้นไปให้บริษัทจัดการทรัพย์สินแทนแล้วก็ตาม โดยอาจถือเป็นการฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญในการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 187 กำหนดชัดเจนว่า ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต้องไม่เป็นผู้ถือหุ้น หรือหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท หากยังถือหุ้นอยู่ต้องโอนให้กับนิติบุคคลจัดการทรัพย์สิน และต้องไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของกิจการนั้นตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง
กฎหมายมาตรานี้ถือเป็นข้อพื้นฐานที่บรรดาคนที่จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรี ใน ครม. ต้องมีการจัดการหุ้น และตำแหน่งของตนเองให้เรียบร้อยก่อนที่จะเข้ามาเป็น รมต.
ดังนั้น จึงเห็นคนที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมีการขาย หรือโอน หุ้น และ ลาออกจากบริษัทต่างๆ ก่อนที่จะมารับตำแหน่งใน ครม. หรือหากไม่ขายหุ้น ก็ต้องมีการโอนหุ้นให้นิติบุคคลจัดการทรัพย์สินให้เป็นที่เรียบร้อย
เพราะหากยังมีการถือหุ้นในบริษัทเอกชนต่อไป ก็เท่ากับว่ากระทำผิดกฎหมาย ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากถูกตรวจสอบพบก็จะทำให้ขาดคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรี และอาจต้องถูกตรวจสอบตามกระบวนการทางกฎหมาย ทั้งจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือ อาจจะมีเรื่องร้องเรียนไปถึงศาลรัฐธรรมนูญได้
รัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย เข้ามาบริหารประเทศ เป็นระยะเวลากว่า 2 ปี ไม่น่าเชื่อว่าจะมีรัฐมนตรีบางคนที่ส่อขาดคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรี
เพราะทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 นอกจากถือหุ้นในบริษัทเอกชนแล้ว ก็ยังมีตำแหน่งเป็นกรรมการในบริษัทเอกชน โดยยังไม่ยอมลาออกมาจนถึงปัจจุบัน
จากการตรวจสอบ นายพีระพันธุ์ มีข้อมูลระบุชัดเจนว่า มีการถือหุ้นอยู่ในบริษัทเอกชนหลายบริษัท และหลายบริษัทปรากฏชื่อของ พล.ท.เจียรนัย วงศ์สอาด ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในปัจจุบัน เป็นผู้มีอำนาจลงนาม หรือเป็นกรรมการบริษัท โดยในส่วนของ นายพีระพันธุ์ นั้น ได้รถือหุ้นใน 4 บริษัท ตามเอกสารที่ปรากฏในบัญชีทรัพย์สินที่ ป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูล ได้แก่
1.บริษัท วีพี แอโร่เทค จำกัด
นายพีระพันธุ์ ถือหุ้นอยู่ 588,500 หุ้น (คิดเป็น 73.58%) บริษัทนี้ มีกรรมการ 3 คน ได้แก่ พล.ท.เจียรนัย วงศ์สอาด นายสยาม บางกุลธรรม และร้อยเอกพีระภัฎ บุญเจริญ
2. บริษัท พี แอนด์ เอส แลนด์ แอนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด
นายพีระพันธุ์ ถือหุ้นอยู่ 46,500 หุ้น (คิดเป็น 93%) มีกรรมการ 2 คน ได้แก่ น.ส.กนกวรรม ลิ้มสุวรรรณ และพล.ท.เจียรนัย วงศ์สอาด
3.บริษัท รพีโสภาค จำกัด
บริษัทนี้ นายพีระพันธุ์ ถือหุ้นอยู่ 22,000 หุ้น (คิดเป็น 73.33%) บริษัทนี้มีกรรมการ 2 คน ได้แก่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐภาค และ นางโสภาพรรณ สาลีรัฐวิภาค
และ 4.บริษัท โสภา คอลเล็คชั่นส์ จำกัด
นายพีระพันธุ์ ถือหุ้นอยู่ 1,000 หุ้น (คิดเป็น 10%) โดยบริษัทนี้มีกรรมการ 1 คน ได้แก่ น.ส.ภัทรพรรณ สาลีรัฐวิภาค
แม้ว่าตามกฎหมาย กำหนดให้การถือหุ้นของผู้ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น สามารถโอนหุ้นไปให้บริษัทดูแลบริหารจัดการแทนได้ โดยกรณีของ นายพีระพันธุ์ ได้โอนหุ้นทั้งหมดไปให้ บมจ.เอ็มเอฟซี ตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2567
แต่เมื่อตรวจสอบพบว่า ในปัจจุบัน นายพีระพันธุ์ ยังคงเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามอยู่ในบริษัท รพีโสภาค จำกัด ที่ตนเอง (เคย) ถือหุ้นอยู่กว่า 73.33%
จากข้อมูลทะเบียนนิติบุคคลของบริษัทของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุชัดว่า นายพีระพันธุ์ เป็นกรรมการบริษัทมาตั้งแต่วันที่ 5 มิ.ย. 2556 จนถึงปัจจุบัน โดยแม้เป็นรัฐมนตรีก็ไม่ได้มีการลาออกแต่อย่างใด
ทั้งนี้ นายพีระพันธุ์ ยังเคยเป็นกรรมการผู้มีอำนาจในบริษัทที่ตนเองถือหุ้นอีก 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท วีพี แอโร่เทค จำกัด บริษัท โสภา คอนเล็คชั่น ก่อนที่จะลาออกไปเมื่อวันที่ 29 ต.ค.2567
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายพีระพันธุ์ เข้ามารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย. 2566 หรือ ประมาณ 1 ปี ก่อนที่จะมีการแจ้งลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัททั้ง 2 แห่ง
นั่นหมายความว่า การเข้าสู่ตำแหน่งและดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ของ นายพีระพันธุ์ เข้าข่ายขาดคุณสมบัติ และขัดรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่ครั้งที่ นายเศรษฐา ทวีสิน ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
การที่รัฐมนตรีคนใดคนหนึ่ง มีพฤติกรรมที่ขัดกับรัฐธรรมนูญแบบนี้ย่อมไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะตัวของรัฐมนตรีเท่านั้น แต่จะกระทบไปถึงนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีคนอื่นๆ ด้วย หากไม่ถอนชนวนระเบิดในเรื่องนี้ออกไป ก็จะเป็นระเบิดเวลาที่นับถอยหลังมาทำลายรัฐบาลเสียเอง