วันที่ 10 เม.ย. 2568 สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ จัดสัมมนาวิชาการ “ศาลรัฐธรรมนูญกับการก้าวสู่ทศวรรษที่ 4 บทบาทและความคาดหวัง” โดยมีอดีตตุลาการ นักวิชาการด้านกฎหมายและรัฐศาสตร์ รวมถึงสื่อมวลชนร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง โดยช่วงแรกของเวทีเปิดให้วิทยากรร่วมให้คะแนนการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญตลอดที่ผ่านมา
ศ.ดร.จรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ย้ำว่า ตนทำหน้าที่ในองค์กรนี้ถึง 12 ปี และเห็นว่าศาลได้แสดงบทบาทในการคานอำนาจบริหารและนิติบัญญัติได้อย่างเป็นรูปธรรม
พร้อมเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญยุคปัจจุบัน "ตัดสถานะความเป็นกฎหมายของประกาศคณะปฏิวัติ" ที่หมดภารกิจไปแล้ว โดยเสนอให้ใช้ดุลพินิจในฐานะตุลาการกำหนด “ช่วงเวลาสิ้นสภาพกฎหมาย” ทั้งตั้งข้อสังเกตว่า หากยังใช้ประกาศคณะปฏิวัติเป็นกลไกทางกฎหมาย อาจขัดหลักประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ขณะเดียวกัน อดีตตุลาการรายนี้ยังเตือนฝ่ายการเมืองว่า หากไม่ต้องการให้เกิดกรณียุบพรรค ควรแก้ไขตัวบทกฎหมาย ไม่ใช่ปล่อยให้ศาลต้องเป็นฝ่ายตัดสินใจ
ด้าน ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร นักวิชาการรัฐศาสตร์ จากจุฬาฯ ย้ำถึงบทบาทศาลรัฐธรรมนูญที่เผชิญแรงเสียดทานสูง พร้อมให้คะแนนเต็ม 100 ในด้านความอดทนและอุตสาหะต่อแรงกดดันจากสังคม
แต่ชี้จุดอ่อน คือ การสื่อสารสาธารณะ ที่ยังขาดการอธิบายเชิงหลักการให้ประชาชนเข้าใจบทบาท และขอบเขตหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญอย่างเพียงพอ
ศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า การประเมินศาลรัฐธรรมนูญต้องแยกตามบริบทรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ โดยเฉพาะตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2550 เป็นต้นมา ศาลเริ่มกลายเป็น
“ผู้เล่นทางการเมือง” ที่มีบทบาทกำหนดทิศทางการเมืองไทย เช่น การยุบพรรค หรือ วินิจฉัยคุณสมบัติของนักการเมือง พร้อมเสนอว่า อนาคตควรมีการทบทวนที่มา อำนาจ และบทบาทศาล ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ส่วน ศ.ดร.อุดม รัฐอมฤต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนปัจจุบัน กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า บางคดีศาลอาจไม่ได้รับความพึงพอใจจากประชาชน แต่ขอให้เข้าใจว่า ทุกคำวินิจฉัยเกิดจากเจตนาดี และกระบวนการพิจารณาที่มีเหตุผล
ศ.ดร.อุดม ย้ำว่า หน้าที่ของศาลไม่ใช่แค่คุ้มครองสิทธิ แต่ต้องรักษาเสถียรภาพทางการเมืองและหลักกฎหมายในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งบางครั้งทั้งสองอย่างอาจขัดแย้งกัน