ACT จับตา 4 สัญญาณอันตราย ทำคอร์รัปชันพุ่งกว่าเดิมในปี 68

16 ก.พ. 2568 | 04:52 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ก.พ. 2568 | 04:58 น.

ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เตือน 4 ปัจจัย ทำให้แนวโน้มทุจริตเพิ่มขึ้นในปี 68 เผยปัจจัยเสี่ยงทั้งเศรษฐกิจฝืด การเมืองร้อน ซื้อเสียงเฟื่องฟู รัฐบาลเพิกเฉย พร้อมวิธีรับมือ

ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ได้แสดงความกังวลผ่านการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 ถึงแนวโน้มการทุจริตคอร์รัปชันในประเทศไทยที่มีทิศทางเพิ่มสูงขึ้น โดยได้วิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่น่าจับตามองดังนี้

 

4 ปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นการคอร์รัปชัน

 

1. สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว: ในปี 2568 เศรษฐกิจมีแนวโน้มฝืดเคือง ส่งผลให้การค้าขายลำบาก ทำให้ภาคเอกชนต้องพึ่งพาการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ การขอสัมปทาน และสิทธิการเช่าต่างๆ มากขึ้น ซึ่งเป็นช่องทางที่อาจนำไปสู่การเรียกรับสินบนและผลประโยชน์ทับซ้อน

2. สถานการณ์การเมืองที่ร้อนแรง: ตามที่นายวันนอร์ มูหะมัดนอร์ ประธานรัฐสภา ได้กล่าวไว้ว่าการเมืองในปี 2568 จะมีความร้อนแรงมากขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณอันตราย เนื่องจากในภาวะที่อำนาจทางการเมืองไม่มั่นคง นักการเมืองมักจะเร่งกอบโกยผลประโยชน์และวางเครือข่ายในหน่วยงานราชการเพื่อสร้างฐานอำนาจในอนาคต

 

 

 

3. การเมืองระบบอุปถัมภ์: ระบบการเมืองแบบซื้อเสียงภายใต้อิทธิพลของ "บ้านใหญ่" และนายทุนพรรคการเมืองกำลังเฟื่องฟู มีการตอบแทนผลประโยชน์และถอนทุนอย่างโจ่งแจ้ง โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายหรือสังคม

4. การขาดเจตจำนงทางการเมือง: รัฐบาลไม่ได้แสดงความใส่ใจในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันอย่างจริงจัง ส่งผลให้เจ้าหน้าที่รัฐเพิกเฉยต่อการทุจริต ในขณะที่เครือข่ายคอร์รัปชันกลับมีความฮึกเหิมมากขึ้น แม้แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เองก็ได้วิพากษ์ว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาทุจริตไม่เพียงพอ

 

รูปแบบการทุจริตที่น่ากังวล

 

ดร.มานะได้ชี้ให้เห็นว่า นอกจากการทุจริตในระดับปฏิบัติการทั่วไป เช่น การโกงการจัดซื้อจัดจ้างและการเรียกรับสินบนตามหน่วยงานราชการแล้ว ยังมีการทุจริตขนาดใหญ่ที่น่าเป็นห่วง ได้แก่ การทุจริตเชิงนโยบาย คอร์รัปชันในโครงการขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจค) การทุจริตทางการเมืองที่เป็นระบบ

 

โดยการทุจริตเหล่านี้มักเกิดจากการสมคบกันระหว่างนักการเมือง ข้าราชการ และนักธุรกิจ ที่รู้ช่องทางกฎระเบียบ และสามารถกำหนดนโยบาย งบประมาณ และโครงการได้เอง ทำให้ยากต่อการตรวจสอบและจับผิด

 

บทบาทของผู้นำกับปัญหาคอร์รัปชัน

 

ดร.มานะได้วิพากษ์วิจารณ์ว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ปัญหาคอร์รัปชันทวีความรุนแรงขึ้น คือการมี "ผู้นำที่ธรรมาภิบาลบกพร่อง" ในทุกระดับ ตั้งแต่ นายกรัฐมนตรu รัฐมนตรี กรรมการองค์กรอิสระ ปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้อำนวยการ ผู้ว่าการ กรรมการและผู้บริหารหน่วยงานต่างๆ

 

โดยผู้นำเหล่านี้มักขาดสำนึกรับผิดชอบ บางคนอาจไม่ได้ทุจริตเอง แต่กลับเพิกเฉยต่อการทุจริตที่เกิดขึ้นรอบตัว และเมื่อถูกทวงถามความรับผิดชอบก็มักอ้างว่าได้ให้นโยบายไปแล้ว หรือโยนความรับผิดชอบให้เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช.

 

ข้อเสนอแนะและบทสรุป

 

ดร.มานะได้เน้นย้ำว่า การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคประชาชนต้องไม่นิ่งเฉยต่อการทุจริต และต้องช่วยกันตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ

 

ภาคเอกชนต้องร่วมต่อต้านการทุจริตและไม่สมรู้ร่วมคิดกับเจ้าหน้าที่รัฐในการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ

 

ผู้นำทุกระดับต้องแสดงความรับผิดชอบให้สมกับความไว้วางใจของประชาชน และต้องไม่ "โกงความหวัง" ของประชาชน

 

ทั้งนี้ ดร.มานะได้เตือนว่าหากไม่มีการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ปัญหาคอร์รัปชันจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากไม่มีปัจจัยใดที่จะช่วยยับยั้งการทุจริตได้ นอกจากความตื่นตัวของภาคประชาชนและภาคเอกชนเท่านั้น