KEY
POINTS
บรรยากาศทางการเมืองกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังรัฐบาลประกาศยุบสภา ขณะที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศวันเลือกตั้งออกมาชัดเจนแล้วในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 สนามเลือกตั้งครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการแข่งขันระหว่างพรรค การเมืองใหญ่ แต่ยังเป็นเวทีประชันนโยบายที่เข้มข้นที่สุดครั้งหนึ่ง ภายใต้ความท้าทายจากวิกฤตเศรษฐกิจ ปัญหาความมั่นคง และการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนไทย
ต้องจับตานโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองใหญ่ 3 พรรคที่คาดว่า จะเป็นผู้ที่กุมเสียงสูงที่สุด ระหว่างพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย ที่ผ่านมาแต่ละพรรคต่างขยับขับเคลื่อนนโยบายเรือธงเพื่อดึงดูดใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และบางพรรคได้มีการเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีชุดใหม่ ไปเรียบร้อยแล้ว ฐานเศรษฐกิจขอสรุปนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ เบื้องต้น ดังนี้
พรรคภูมิใจไทย “พูดแล้วทำพลัส” ตั้งความหวังมุ่งสู่พรรคอันดับหนึ่ง ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ซึ่งนโยบายส่วนใหญ่จะขับเคลื่อนต่อเนื่องจากแนวนโยบายของรัฐบาลปัจจุบันที่นายอนุทิน นั่งเป็นนายกรัฐมนตรี เบื้องต้นนโยบายเรือธง จะมุ่งเน้นการแก้ปัญหา “4 ภัย” คือ ภัยเศรษฐกิจ ภัยความมั่นคงชายแดน ภัยสังคม (สแกมเมอร์และยาเสพติด) และภัยธรรมชาติ
สำหรับภัยเศรษฐกิจปากท้อง เบื้องต้นอาจแบ่งเป็นระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว มีโครงการใหญ่ ๆ เช่น การสานต่อคนละครึ่งพลัส การพักหนี้ทุกรูปแบบ 1 คน 100,000 บาท พร้อมวางรากฐานเพื่อให้ความสำคัญกับผู้ที่อยู่ในระบบภาษีด้วย ส่วนภัยความมั่นคงชายแดน นโยบายพร้อมสนับสนุนกองทัพปกป้องอธิปไตยของไทย เพื่อป้องกันภัยต่อความมั่นคงของประเทศ
เช่นเดียวกับภัยด้านสังคม นโยบายหลังจะเน้นการยกระดับการแก้ปัญหาสแกมเมอร์ และปัญหายาเสพติดเป็นภัยความมั่นคง หลังจากพยายามผลักดันการแก้ปัญหาดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่เป็นรัฐบาลประมาณ 2 เดือนครึ่ง ส่วนสุดท้ายคือการต่อสู้กับภัยธรรมชาติ โดยเน้นความสำคัญด้านการวางรากฐานเรื่องของปัญหาสิ่งแวดล้อม เดินหน้านโยบายโครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน และการเตรียมความพร้อมไปสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050
พรรคประชาชน โดยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน เปิด 5 ชุดนโยบายหลักในการหาเสียงเลือกตั้ง เน้นจุดแข็งด้านนโยบายที่ลงลึกถึงแผนปฏิบัติจริง เพื่อเปลี่ยนประเทศ ชูนโยบายเศรษฐกิจใหม่ เพิ่มทักษะและผลิตภาพ สร้างโอกาสให้กับกลุ่มสูงวัย การผลักดันร่างกฎหมายการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรม และสร้างระบบอุตสาหกรรมอนาคต
รวมทั้งนโยบายการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน ปฏิรูประบบงบประมาณกิโยตินกฎหมาย เตรียมรับมือเทคโนโลยี AI และการสร้างระบบการเมืองการบริหารราชการแผ่นดินมีความโปร่งใส รวไปถึงนโยบายคุณภาพชีวิตใหม่ ตั้งแต่คน เมือง ที่ดินสิ่งแวดล้อม และดิจิทัล ขณะที่นโยบายด้านความมั่นคง และการต่างประเทศ เน้นแก้ไขปัญหาทุนเทาในประเทศ ตั้งศูนย์อาชญากรรมไซเบอร์อาเซียน และตั้งศูนย์ข่าวกรองแม่น้ำโขง
พรรคเพื่อไทย เปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 3 คน ได้แก่ ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์, นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ พร้อมประกาศยกเครื่องประเทศไทย โดยอาสานำพาประเทศไทยพาล้นจากวิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่ พร้อมเสนอเป้าหมายยกระดับประเทศไทยสู่ประเทศรายได้สูงให้เร็วที่สุด
สำหรับนโยบายเร่งด่วน พรรคเพื่อไทยจะผลักดัน “หวยเกษียณ” ภายใน 3 เดือนแรกของการเป็นรัฐบาล เพื่อเปลี่ยนการเสี่ยงโชคเป็นการออม สร้างหลักประกันทางการเงินให้ผู้สูงอายุ ควบคู่กับสวัสดิการของรัฐ
รวมทั้งเดินหน้ามาตรการ “ล้างหนี้ให้คนไทย” มองว่าปัญหาหนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยประกอบด้วย การแก้หนี้นอกระบบด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การเปิดโอกาสให้ปิดหนี้เสีย (NPL) ด้วยการจ่ายเพียงบางส่วน การพักหนี้เกษตรกร 3 ปี การปลดหนี้ผู้สูงอายุ และการให้รางวัลลูกหนี้ชั้นดี
เช่นเดียวกับการผลักดันการพัฒนาด้านคมนาคม เพื่อเปิดโอกาสคนไทย โดยจะสานต่อ 20 บาทตลอดสาย พร้อมพัฒนา Feeder ควบคู่ผ่านนโยบาย “รถเมล์แอร์ 10 บาท” เพื่อให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงการเดินทางคุณภาพได้จริง และผลักดันนโยบาย “บ้านเพื่อคนไทย” ได้เริ่มต้นด้วย 4 โครงการนำร่อง เน้นบ้านในทำเลศักยภาพ ใกล้ระบบคมนาคม ใกล้แหล่งงาน และจ่ายไหว เพื่อให้โครงสร้างพื้นฐานไม่เพียงพาคนเดินทาง แต่ช่วยให้คนไทยตั้งหลัก มีบ้าน มีคุณภาพชีวิต และมีอนาคตที่มั่นคง
ส่วนกรอบแนวคิดนโยบายเศรษฐกิจเพื่อไทย จะทยอยประกาศนโยบายสู้ศึกเลือกตั้งมี 10 เรื่อง คือ 1. สร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจ รับผิดชอบทางการคลัง ลดการขาดดุลงบประมาณ ยกระดับเครดิตเรตติ้งประเทศผ่านการคลังที่มั่นคง 2. ให้ประชาชนเป็นผู้ถือเงินหรือคูปองในการเลือกใช้บริการภาครัฐ 3. ปลดหนี้ประชาชนทั้งระบบ ครบทุกกลุ่ม 4. ปลดล็อคกฎหมายและระบบภาษี เพื่อดึงดูดเงินจากต่างชาติ 5. แปลงสินทรัพย์เป็นทุน ทั้งทรัพย์สินของรัฐ ที่ดินของรัฐ ต้องสร้างรายได้ ต้องไม่ถูกปล่อยทิ้งร้าง และประชาชนต้องมีส่วนร่วมลงทุน
6. การพัฒนาทุนมนุษย์ จะมีการให้สิทธิ์ตรงลงไปที่ประชาชนโดยตรง 7. เปลี่ยน “รัฐควบคุม” เป็น “รัฐบริการ” จะมีระบบที่เปิดให้ประชาชนเข้าถึงงบประมาณ สถานะโครงการ การจัดซื้อจัดจ้าง 8. สร้างเศรษฐกิจมูลค่าสูง ยกระดับผลิตภาพแรงงาน ยกระดับเทคโนโลยีโดยเฉพาะ AI 9. ยกเศรษฐกิจใต้ดินขึ้นบนดิน 10. ลดภาระ ต้นทุนชีวิตประชาชน ทั้งด้านค่าใช้จ่ายประจำวัน ค่ารักษาพยาบาล ประกันชีวิตผู้เสี่ยงภัย ค่าเดินทาง ค่าไฟ รวมถึงต้นทุนการผลิตภาคธุรกิจทั้งระบบ
นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดตัวแคมเปญหาเสียงเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ อย่างเป็นทางการ โดยระบุว่า ถึงเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องประกาศว่าประเทศไทยไม่ทน พรรคประชาธิปัตย์ขออาสามาเปลี่ยนแปลงสภาพที่เป็นอยู่ ซึ่งการเลือกตั้งปี69 พรรคประชาธิปัตย์และประชาชนจะกลับมาทำสิ่งที่ทุกคนทนหายใจ ให้เป็นไทยหายจน โดยเป้าหมายสุดท้ายคือ หลุดพ้นจากปัญหาทนหายใจ ไปสู่ภาวะไทยหายจน
เบื้องต้นได้กำหนดนโยบายมุ่งเน้น 3 ด้านหลัก คือ เศรษฐกิจและการเพิ่มรายได้, ความมั่นคงและการต่อต้านมิจฉาชีพ (Scammer), และการเพิ่มบทบาทไทยในเวทีโลก สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานคร พรรคชู 3 ยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อม แก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำเสีย การจราจร-ขยะ และฝุ่น PM 2.5 โดยเน้นย้ำถึงความซื่อสัตย์สุจริตและการทำนโยบายที่เป็นไปได้จริง
พรรคกล้าธรรม ชูจุดขายที่พรรคจะใช้ในการหาเสียง เบื้องต้นเน้น “กล้าทำ ทำจริง” โดยที่ผ่านมา หัวหน้าพรรคกล้าธรรม นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ยอมรับว่า พรรคจะเน้นเอาคาแรคเตอร์ขอร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรค เป็นคนทำอะไรทำจริง ไม่ใช่แค่คิดจะทำ แต่กล้าที่จะทำจริง มาเป็นแม่เหล็ก โดยจะไม่ทำนโยบายขายฝัน จะไม่มีป้ายหาเสียงเหมือนป้ายราคา 10,000 บาท 3,000 บาท แต่จะนำเรื่องที่สามารถทำได้จริง ๆ จะประกาศในสิ่งที่ทำได้จริงเท่านั้น
โดยนโยบายที่คาดว่าจะประกาศออกมาจะเน้นไปที่การดูแลภาคเกษตรเป็นหลัก โดยสานต่อนโยบายเดิมที่ทำไว้ในรัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล
พรรคไทยก้าวใหม่ นำโดย ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นำเสนอแผนแม่บท “ธนู 4 ดอก” ประกอบไปด้วย 1. สร้างคนผ่านการศึกษาฟรีถึงระดับปริญญา 2. สร้างเศรษฐกิจใหม่ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม 3. สร้างคุณภาพชีวิตที่ปลอดภัย 4. สร้างค่านิยมใหม่ปราบทุจริตด้วย AI และ Blockchain นอกจากนี้ยังเน้นการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ผ่านโครงการรถไฟความเร็วสูงสายใต้และยกระดับภูเก็ตเป็นอาเซียนฮับ