"นายกฯ"ยกหูคุยทูตอิสราเอล รับไม่ได้ ปมนายจ้างเพิ่มเงินล่อแรงงานอยู่ต่อ

24 ต.ค. 2566 | 03:37 น.

"นายกฯ"ยกหูคุยกับ"ทูตฯอิสราเอล"เผยพูดแรงปมเอาเงินล่อแรงงานไทยอยู่ต่อ ชี้ทำไม่ถูกต้อง ยันทูตไม่ทราบเรื่อง พร้อมรับไปตรวจสอบ

วันที่ 24 ต.ค. 2566 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุม โดยนายกฯกล่าวถึงกรณีแรงงานไทยในอิสราเอล ว่า ก็ยังเป็นห่วงอยู่เหมือนเดิมเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ที่ผ่านมา  ได้โทรศัพท์พูดคุยกับเอกอัครราชทูตอิสราเอล ประจำประเทศไทยไปแล้ว จากปัญหาที่มีการเพิ่มเงินเป็นแรงจูงใจให้แรงงานไทยอยู่ทำงานต่อ เราก็พูดแรงในเชิงบอกว่าแบบนี้ไม่ได้ เรื่องนี้ไม่ได้ เอาเงินมาล่อ เรื่องแบบนี้ไม่ได้ ตนคิดว่ามันไม่ถูกต้อง

ทางทูตอิสราเอลบอกว่า ไม่ทราบเรื่องเลย แต่เขาจะไปสืบทราบและจะแจ้งให้รับทราบโดยเร็ว เพราะเขาก็เป็นห่วงเหมือนกัน และอีกเรื่องการเลื่อนจ่ายเงินเดือนแรงงานไปวันที่ 10 พ.ย.เขาบอกว่าไม่ทราบเรื่อง แต่ตนก็ยืนยันไปและพูดเสียงหนักแน่นว่าต้องดูให้เรา 

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ที่่ผ่านมา นายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉินความไม่สงบในอิสราเอล-กาซา (RRC) ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นคือการที่มีคนเปลี่ยนใจไม่กลับมาเยอะพอสมควร เหตุผลหลักคือ ทางนายจ้างอิสราเอลดึงเรื่องการจ่ายเงินไปเป็นวันที่ 10 พ.ย. และมีการอัพค่าจ้างออกไปเพื่อเป็นแรงจูงใจให้แรงงานไทยอยู่ แต่ทางเราได้ประชุมกันแล้ว ยืนยันว่าแม้ว่าข่าวเรื่องการถล่มจะเบาบางลงไป แต่จริงๆ แล้วความเข้มของสงครามไม่ได้ลดลงไปเลย มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น และอาจจะขยายวงอีกบางประเทศที่ใกล้เคียงด้วย

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง

ขอเตือนพี่น้องว่ากลับมาเถอะ หากญาติพี่น้องอยู่ที่นี่ ขอให้บอกไปที่ญาติพี่น้องที่ทำงานที่นั่นให้กลับมา ต้องขอให้กลับมา เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่ยังกลับได้อยู่ ถ้าเกิดมีการปฏิบัติการภาคพื้นดินเกิดขึ้น การกลับเข้ามาก็จะลำบาก เรื่องการเดินทางเข้าสู่ศูนย์อพยพเพื่อที่จะไปสนามบินก็จะลำบาก และขอว่าอย่าเปลี่ยนใจเลย วงเงินแค่ไหนก็ไม่คุ้มกับชีวิต และหากมีการปฏิบัติภาคพื้นดินเกิดขึ้น จะยิ่งลำเลียงคนออกมายังศูนย์พักพิงจะยากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ดี หลังประชุมนายเศรษฐา ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ขอตั้งข้อสังเกตถึงกรณีที่จะมีการจ่ายค่าแรงในวันที่ 10 พ.ย. ทั้งที่การจ่ายเงินควรจะต้องเป็นวันที่ 31 ต.ค. ทำให้ชวนคิดได้ว่า ทำไมต้องไปจ่ายวันที่ 10 พ.ย. แสดงว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นหรือไม่ เพราะหากจะจ่ายเงินวันที่ 10 พ.ย. แล้วถ้าก่อนหน้านั้นมีอะไรเกิดขึ้น จะได้กลับประเทศหรือไม่

ตนจึงจะโทรศัพท์ไปหาเอกอัครราชทูตอิสราเอล ประจำประเทศไทย เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะกรณีนี้ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ และเป็นเรื่องที่สำคัญ ละเอียดอ่อน อย่าเอาเรื่องเงินมาแลกกับชีวิตของคนไทย ไม่ใช่เอาเงินมาล่อให้เราอยู่ ถ้ามีการสูญเสียเกิดขึ้น ก็เป็นเรื่องใหญ่