“สามารถ”ตั้งคำถามเลือกผู้ว่าฯ กทม.มาพัฒนาเมืองหรือมาทำงานการเมืองกันแน่

14 พ.ค. 2565 | 03:20 น.

ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม.โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “เลือกผู้ว่าฯ กทม. ให้พัฒนาเมืองหรือให้ทำการเมือง ?” ใจความสำคัญระบุว่า

 

ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. หลายคนยังลังเลว่าจะเลือกใครดี ? จะเลือกคนนั้นที่ดูว่าน่าจะทำงานได้ดีกว่าก็กลับเป็นผู้สังกัดพรรคการเมืองหรือฝักใฝ่การเมืองฝ่ายโน้น ดังนั้น เลือกคนนี้ดีกว่าเพราะสังกัดพรรคการเมืองหรือฝักใฝ่การเมืองที่เรานิยมชมชอบ ตกลงว่าเราจะเลือกผู้ว่าฯ กทม. ให้มาพัฒนาเมือง หรือให้มาทำงานการเมืองกันแน่ ?

 

1. การพิจารณาเลือกผู้ว่าฯ กทม.

ผมแบ่งการพิจารณาเลือกผู้ว่าฯ กทม. ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งออกเป็น 5 กลุ่มหลัก ดังนี้

 

1.1 พิจารณาจากแนวคิดทางการเมือง

ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกลุ่มนี้จะเลือกผู้ว่าฯ กทม. โดยพิจารณาจากพรรคการเมืองที่ผู้สมัครสังกัดหรือแนวคิดทางการเมืองของผู้สมัครเป็นหลัก ถ้าเห็นว่าสังกัดพรรคการเมืองหรือมีแนวคิดทางการเมืองเหมือนตนก็จะตัดสินใจเลือก ในกรณีมีผู้สมัครที่มีคุณสมบัติเช่นนี้มากกว่า 1 คน ก็จะพิจารณาเลือกคนที่มีโอกาสชนะผู้สมัครที่สังกัดพรรคการเมืองหรือมีแนวคิดทางการเมืองตรงข้ามกับตน เพื่อป้องกันเสียงแตก หรือไม่ให้แข่งขันกันเอง โดยไม่คำนึงถึงศักยภาพด้านการพัฒนาเมืองของผู้สมัคร เพียงแต่หวังจะเอาชนะทางการเมืองเท่านั้น พูดได้ว่าต้องการให้ผู้ว่าฯ กทม. มาทำงานสนับสนุนพรรคการเมืองหรือแนวคิดทางการเมืองที่ตนนิยมชมชอบ เพื่อเป็นฐานเสียงการเมืองระดับประเทศ

 

1.2 พิจารณาจากศักยภาพด้านการพัฒนาเมือง

ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกลุ่มนี้จะเลือกผู้ว่าฯ กทม. โดยพิจารณาจากความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ของผู้สมัครว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมกับการบริหารและพัฒนากรุงเทพฯ ให้เป็นมหานครที่น่าอยู่ และน่าท่องเที่ยวได้หรือไม่ ? โดยไม่คำนึงถึงแนวคิดทางการเมือง และการสังกัดพรรคหรือไม่ ในกรณีมีผู้สมัครที่มีคุณสมบัติดังกล่าวมากกว่า 1 คน ก็จะตัดสินใจเลือกคนที่มีศักยภาพมากที่สุด

 

การทำกรุงเทพฯ ให้เป็นมหานครที่น่าอยู่และน่าท่องเที่ยว อย่างน้อยจะต้องทำให้กรุงเทพฯ เป็นดังนี้

 

- มีการเดินทางสะดวก รถติดน้อย โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งมวลชน และรถโดยสารสาธารณะ เช่น มีทางเท้าน่าเดิน ไม่มีสิ่งกีดขวาง ไม่มีหลุมบ่อ เป็นต้น

- สะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย มีมลภาวะน้อย มีพื้นที่สีเขียวเพียงพอ

- ไม่มีน้ำท่วมขัง

- มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีไฟแสงสว่างเพียงพอ

 

 

1.3 พิจารณาจากความชอบส่วนตัว

ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกลุ่มนี้จะเลือกผู้ว่าฯ กทม. โดยพิจารณาจากความชอบส่วนตัว ไม่คำนึงถึงแนวคิดทางการเมือง การสังกัดพรรคหรือไม่ จะอยู่ฝ่ายไหนไม่สำคัญ และไม่คำนึงถึงศักยภาพด้านการพัฒนาเมือง จะมีความสามารถมากน้อยแค่ไหนก็ไม่เป็นไร ในกรณีมีผู้สมัครที่ตนชื่นชอบมากกว่า 1 คน ก็จะตัดสินใจเลือกคนที่ตนชอบมากที่สุด

 

1.4 พิจารณาจากแนวคิดทางการเมืองและศักยภาพด้านการพัฒนาเมือง

ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกลุ่มนี้จะเลือกผู้ว่าฯ กทม. โดยพิจารณาจากแนวคิดทางการเมืองและศักยภาพด้านการพัฒนาเมือง แต่จะให้ความสำคัญต่อแนวคิดทางการเมืองเป็นอันดับแรก ถ้าเป็นผู้สมัครที่มีแนวคิดทางการเมืองเหมือนกับตนก็จะตัดสินใจเลือก ในกรณีมีผู้สมัครที่มีคุณสมบัติดังกล่าวมากกว่า 1 คน ก็จะตัดสินใจเลือกผู้สมัครที่มีศักยภาพด้านการพัฒนาเมืองมากที่สุด โดยไม่คำนึงว่าเสียงจะแตกหรือไม่

 

1.5 พิจารณาจากแนวคิดทางการเมืองและความชอบส่วนตัว

ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกลุ่มนี้จะเลือกผู้ว่าฯ กทม. โดยพิจารณาจากแนวคิดทางการเมืองและศักยภาพด้านการพัฒนาเมือง แต่จะให้ความสำคัญต่อแนวคิดทางการเมืองเป็นอันดับแรก ถ้าเป็นผู้สมัครที่มีแนวคิดทางการเมืองเหมือนกับตนก็จะตัดสินใจเลือก ในกรณีมีผู้สมัครที่มีคุณสมบัติดังกล่าวมากกว่า 1 คน ก็จะตัดสินใจเลือกผู้สมัครที่ตนมีความนิยมชมชอบมากที่สุด โดยไม่คำนึงว่าเสียงจะแตกหรือไม่

 

แนวคิดของ ดร.สามารถ

ในฐานะที่เป็นผู้มีสิทธิ์เลือกผู้ว่าฯ กทม. คนหนึ่ง ต้องการให้กรุงเทพฯ ได้รับการพัฒนาเป็นมหานครที่น่าอยู่และน่าท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน นั่นหมายความว่าจะพิจารณาเลือกผู้สมัครจากศักยภาพด้านการพัฒนาเมืองเป็นสำคัญ

 

แต่อย่างไรก็ตาม จะไม่พิจารณาศักยภาพของผู้สมัครจากโปรไฟล์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะโปรไฟล์ที่สวยหรูอาจถูกปรุงแต่งด้วยกลวิธีต่าง ๆ นานา ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องหาข้อมูลเชิงลึกของผู้สมัครที่มีโปรไฟล์สวยหรูให้รู้ถึงภูมิหลังที่แท้จริงว่า เก่งจริงหรือคุยโม้โอ้อวดและยกตนข่มท่าน ? ดีจริงหรือเสแสร้ง ?