ย้อนรอยสรุปคดีทุจริตบ้านเอื้ออาทร "วัฒนา เมืองสุข" จำคุก 50 ปี

04 มี.ค. 2565 | 18:15 น.

บทสรุปคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร "วัฒนา เมืองสุข" อดีต รมว.พม. หลังศาลฎีกานักการเมืองพิพากษายืนสั่งจำคุก 50 ปี ริบทรัพย์ 89 ล้านบาท อ่านรายละเอียดครบที่นี่

คดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร ปิดฉากเส้นทางการเมืองของนายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) หลังองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาฯ อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ชั้นอุทธรณ์พิพากษา ยืนจำคุก 99 ปี แต่รับโทษจริงคงจำคุก 50 ปี พร้อมสั่งริบทรัพย์ 89 ล้านบาท ต้องชดใช้ภายใน 30 วัน หากเกินคิดดอกเบี้ยเพิ่มร้อยละ 7.5 ต่อปี

 

ฐานเศรษฐกิจ พาย้อนกลับไปเมื่อปี 2549 ในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร หลังการทำรัฐประหารของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ได้มีการแต่งตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เพื่อตรวจสอบโครงการที่ดำเนินการในรัฐบาลสมัยนั้น หนึ่งในนั้น คือ โครงการบ้านเอื้ออาทร ต่อมา คตส. ได้ส่งสำนวนต่อให้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการสอบสวนต่อ

 

กระทั่งปี 2560 ป.ป.ช.ได้มีมติชี้มูลความผิด นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมจำเลยคนอื่นๆ อีก 14 คน ส่งให้อัยการสูงสุดยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีทุจริตเรียกรับสินบนจาก บริษัท พาสทิญ่า จำกัด ผู้รับเหมาโครงการบ้านเอื้ออาทร ผ่านบริษัทและลูกจ้างบริษัท เพรซิเด้นท์เทรดดิ้ง จำกัด จำนวน 82.6 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทดังกล่าวไม่มีคุณสมบัติในการเข้าเป็นคู่สัญญากับการเคหะแห่งชาติ แต่ได้มีการจ่ายสินบน เพื่อให้สามารถเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐได้

อย่างไรก็ดี หลังจาก ป.ป.ช.ส่งสำนวนให้อัยการ ปรากฎว่า อัยการพบความไม่สมบูรณ์ในสำนวนจึงต้องตั้งคณะกรรมการร่วมทั้ง 2 ฝ่ายขึ้นมาพิจารณากระทั่งอัยการสูงสุดชี้ขาดส่งฟ้องนายวัฒนากับพวกเป็นจำเลยต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 

 

ต่อมาในวันที่ 24 กันยายน 2563 ศาลแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิพากษาจำคุกนายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พม. ทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร รวม 11 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 9 ปี รวมทั้งสิ้น 99 ปี ตามกฎหมายให้จำคุกได้สูงสุด 50 ปี 

 

ในวันนั้นองค์คณะได้พิเคราะห์ในประเด็นต่าง ๆ แล้วเห็นว่า ขณะเกิดเหตุนายวัฒนา จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่ง รมว.พัฒนาสังคมฯ มีหน้าที่รับผิดชอบกำกับกิจการการเคหะแห่งชาติ ดูแลผู้ว่าการเคหะแห่งชาติ ซึ่งมีอำนาจในการกำหนดหลักเกณฑ์หรือนโยบายโครงการบ้านเอื้ออาทรใหม่

 

โดยแก้ไขการยื่นข้อเสนอทำบ้านเอื้ออาทรให้ผู้ประกอบการทุกรายต้องยื่นหลักประกัน และให้การเคหะแห่งชาติมีมติอนุมัติโครงการ ซึ่งพยานโจทก์มีความเห็นต่างกันถึงข้อดีและข้อเสียเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ใหม่

"การที่จำเลยที่ 1 มีบันทึกแก้ไขประกาศหลักเกณฑ์ใหม่ก็เกี่ยวเนื่องกับผู้ประกอบการต้องปฏิบัติ ลำพังเหตุเพียงเท่านั้นยังไม่ชัดว่า จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต มาตรา 157 แม้จะมีการเรียกรับ แต่ก็ไม่ได้เป็นผลโดยตรง เนื่องจากผู้ประกอบการมีคุณสมบัติตามประกาศที่แก้ไขใหม่อยู่แล้ว จึงยังบ่งชี้ไม่ได้ว่า จำเลยใช้อำนาจแทรกแซงคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ"

 

ศาลวินิจฉัยต่อว่า จำเลยที่ 1 ข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลมอบให้หรือหามาซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 หรือไม่

 

องค์คณะเห็นว่า แม้นายวัฒนาจำเลยที่ 1 อ้างว่า มีความเกี่ยวข้องแค่นโยบายเท่านั้นแต่ลักษณะการกระทำผิดคดีนี้เป็นไปไม่ได้ที่นายอภิชาติ จำเลยที่ 4 และ น.ส.รุ่งเรือง จำเลยที่ 7 ซึ่งเป็นคนนอกจะกระทำได้เองโดยเฉพาะจำเลยที่ 4 ไม่อาจแสดงตนว่า เป็นที่ปรึกษาไม่เป็นทางการของจำเลยที่ 1 ได้เอง และที่นายพรพรหม จำเลยที่ 3 จัดส่งเอกสารการประชุมให้ น.ส.รัตนา จำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นคนนอก ไม่น่าเชื่อว่า จำเลยที่ 3 จะส่งเองได้

 

อีกทั้งได้ความจากพยานว่า นายวัฒนาจำเลยที่ 1 สั่งจำเลยที่ 3 ให้จัดส่งเอกสาร แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ติดตามสนใจโครงการบ้านเอื้ออาทรอย่างใกล้ชิด เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้เห็นเรื่องการเรียกรับเงิน

 

"การที่จำเลยที่ 1 ปล่อยให้จำเลยที่ 4 แสดงตนอย่างไม่เป็นทางการ และอ้างว่า ผู้ประกอบการไปติดต่อจ่ายเงินกับจำเลยที่ 4 เอง เพื่อให้ตนพ้นผิดหาได้ไม่ พฤติการณ์จำเลยที่ 1 เป็นการเอื้ออำนวยให้จำเลยที่ 4 โดยอาศัยอำนาจของจำเลยที่ 1 แสวงหาผลประโยชน์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และให้จำเลยที่ 5-7 เป็นผู้ติดตามทวงเงินผู้ประกอบการ อีกทั้งพฤติการณ์บ่งชี้ว่า เป็นการเร่งรัดให้ผู้ประกอบการจ่ายเงินให้จำเลยที่ 4" 

 

แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 กระทำการเข้าไปมีส่วนเรียกรับทรัพย์ผู้ประกอบการแต่ละรายล่วงหน้า เพื่อตอบแทนการอนุมัติโครงการ ส่วนการเรียกรับและการเรียกเงินโดยตรงแม้ทางไต่สวนจะเชื่อมโยงกับจำเลยที่ 1 จะเรียกเงินเองก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญ เนื่องจากหลักฐานชี้ว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนรู้เห็นเป็นใจให้มีการนำเงินมามอบให้ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 148 จึงไม่จำเป็นต้องปรับบทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157

 

ส่วนจำเลยที่ 4 มีผู้ประกอบการเบิกความว่า จำเลยที่ 4 แนะนำตัวเป็นที่ปรึกษาไม่เป็นทางการของจำเลยที่ 1 มีความเชี่ยวชาญเป็นที่ปรึกษาโครงการอสังหาริมทรัพย์ สามารถช่วยดำเนินการให้อนุมัติก่อสร้างบ้านเอื้ออาทรได้

 

เมื่อผู้ประกอบการจ่ายเงินให้จำเลยที่ 4 ก็จะได้รับการอนุมัติก่อสร้างทุกราย แม้บางรายจะได้รับการอนุมัติหลังปิดโครงการไปแล้ว แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า มีการทำสัญญา ประกอบกับไม่มีผลงานแสดงให้เห็นสมเหตุสมผลกับเงินที่จ่ายให้จำเลยที่ 4 ถึงร้อยกว่าล้านบาท

 

อีกทั้งผู้ประกอบการรายอื่นมีประสบการณ์ธุรกิจก่อสร้างมาก่อน ย่อมมีประสบการณ์มากกว่าจำเลยที่ 4 ที่ชำนาญเพียงด้านการค้าข้าว และไม่มีธุรกิจก่อสร้างจริงจัง ถ้าจำเลยที่ 4 ไม่อ้างว่ามีความสัมพันธ์กับจำเลยที่ 1 ก็ไม่มีเหตุที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ต้องว่าจ้างจำเลยที่ 4 เพียงรายเดียว ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 มีความชำนาญด้านการก่อสร้าง เงินที่จ่ายเป็นค่าที่ปรึกษาก็เป็นข้ออ้างให้ผู้ประกอบการสามารถลงบัญชีได้

 

ส่วนจำเลยที่ 5-7 เปิดบัญชีเพื่อประสานงานและติดตามทวงเงินจากผู้ประกอบการ โดยเฉพาะจำเลยที่ 5 หากไม่รู้เห็นก็ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยที่ 4 จะให้เข้ามาทำงาน เพราะจะทำให้งานเสีย และเป็นการเปิดเผยแผนการให้คนนอก จากพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 5-7 มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนงานให้สำเร็จ จึงฟังได้ว่าร่วมกับจำเลยที่ 4 กระทำผิด

 

สำหรับนายอริสมันต์ จำเลยที่ 10 ศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุกฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด 1 กระทง จึงถูกพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 4 ปี ซึ่งองค์คณะเสียงข้างมากเห็นว่า แม้จะไม่ปรากฏว่า ผู้หญิงที่รับเงิน 40 ล้านบาท เป็นใครและมีความสัมพันธ์กับจำเลยที่ 10 อย่างไร แต่คำเบิกความของพยานเป็นการซักถามถึงการจ่ายเงินด้วยความระมัดระวัง

 

พฤติการณ์ของจำเลยที่ 10 เป็นการยุยงส่งเสริมให้พยานตัดสินใจจ่ายเงิน 40 ล้านบาท เพื่อให้โครงการได้รับอนุมัติ ประกอบกับเช็คที่จ่ายไปถึงจำเลยที่ 7-8 ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับขบวนการในคดีนี้ แม้ผู้กระทำผิดจะรู้ถึงความช่วยเหลือของจำเลยที่ 10 หรือไม่ก็ตาม พฤติการณ์ของจำเลยที่ 10 ก็ถือเป็นการสนับสนุน

 

ศาลพิพากษาว่า นายวัฒนา เมืองสุข จำเลยที่ 1 มีความผิดฐาน ข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 รวม 11 กระทง จำคุกกระทงละ 9 ปี รวมจำคุก 99 ปี แต่โทษจำคุกให้จำคุกสูงสุด 50 ปี

 

จำคุก นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง จำเลยที่ 4 นักธุรกิจค้าข้าว รวม 11 กระทง กระทงละ 6 ปี รวม 66 ปี แต่ให้โทษจำคุกสูงสุด 50 ปี และให้ออกหมายจับ ลูกน้องเสี่ยเปี๋ยง -นายอริสมันต์ ที่หลบหนี

 

ส่วนจำเลยที่ 5 น.ส.รัตนา แซ่เฮ้ง ลูกน้องคนสนิทของเสี่ยเปี๋ยง จำคุก 4 กระทง กระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 20 ปี

 

จำเลยที่ 6 น.ส.กรองทอง วงศ์แก้ว พนักงานบริษัท เพรสซิเด้นอะกริ เทรดดิ้ง จำกัด มีความผิด 11 กระทง กระทงละ 4 ปี รวมจำคุก 44 ปี

 

จำเลยที่ 7 น.ส.รุ่งเรือง คุณปัญญา พนักงานบริษัท เพรซิเดนท์ฯ ความผิด 8 กระทง กระทงละ 4 ปี รวมจำคุก 32 ปี

 

จำเลยที่ 10 นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักไทย ให้จำคุก 4 ปี

 

ส่วนจำเลยที่ 8 บริษัท เพรซิเดนท์ อะ กริ เทรดดิ้ง จำกัด โดยมี นายปกรณ์ อัศวีนารักษ์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน ให้ปรับเงินกว่า 275,000 บาท

 

ให้ออกหมายจับจำเลยที่ 6 น.ส.กรองทอง วงศ์แก้ว จำเลยที่ 7 นางสาวรุ่งเรือง ขุนปัญญา และจำเลยที่ 10 นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ที่หลบหนี เพื่อนำตัวมารับโทษ

 

นอกจากนี้ ศาลยังสั่งให้ นายวัฒนา จำเลยที่ 1, นายอภิชาติ จำเลยที่ 4, น.ส.กรองทอง จำเลยที่ 6 และ บริษัท เพรซิเดนท์ฯ จำเลยที่ 8 ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 1,323,006,750 บาท น.ส.รัตนา จำเลยที่ 5 จำนวน 763 ล้านบาทเศษ น.ส.รุ่งเรือง จำเลยที่ 7 จำนวน 1,056 ล้านบาท นายอริสมันต์ จำเลยที่ 10 จำนวน 40 ล้านบาท

 

ทั้งนี้ โทษปรับให้ดำเนินการชำระเงินภายใน 30 วัน หากไม่ดำเนินการจะยึดทรัพย์

 

ในส่วนของนายมานะ จำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงไม่ชัดว่าจำเลยที่ 2 มีการเรียกรับทรัพย์สินหรือรู้เห็นด้วย จำเลยที่ 2 ไม่น่ามีส่วนร่วม เป็นเพียงการประสานให้จำเลยที่ 11 ยื่นเอกสารให้ทันเท่านั้น ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยที่ 2 รู้เห็นเป็นใจสนับสนุนจำเลยที่ 1

 

สำหรับนายพรพรหม จำเลยที่ 3 เดิมเป็นข้าราชการที่จำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 3 ช่วยประสานงาน พยานไม่เห็นว่าจำเลยที่ 3 ทำงานนอกเหนือการประสานงานทั่วไป

 

ส่วนกรณีที่ให้จัดส่งเอกสารตามที่จำเลยที่ 5 ร้องขอ ก็เป็นการประสานในกรอบหน้าที่ธุรการ ขณะที่มีพยานบอกเล่ากลับคำให้การ ทำให้คำให้การมีน้ำหนักลดน้อยลง ไม่พอรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกระทำความผิดด้วย

 

สั่งยกฟ้อง นายมานะ วงศ์พิวัฒน์ อดีตบอร์ดการเคหะแห่งชาติและอดีตประธานอนุกรรมการพิจารณากลั่นกรองโครงการฯ จำเลยที่ 2, นายพรพรหม วงศ์วิวัฒน์ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายการเงินบริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) จำเลยที่ 3, บริษัท จิวเวอร์รี่อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด จำเลยที่ 9, และจำเลยที่ 11 บริษัท พาสทิญ่าไทย จำกัด, จำเลยที่ 12 บริษัท นามแฟทท์ คอนสตรัคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด, จำเลยที่ 13 บริษัท พรินซิพเทค ไทย จำกัด และจำเลยที่ 14 น.ส.สุภาวิดา คงสุข กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทน บริษัท ไทย เฉน หยูฯ