เลือกตั้งซ่อมเดือด นายกฯ สั่ง“ทหาร” วางตัวเป็นกลาง

12 ม.ค. 2565 | 07:56 น.

เลือกตั้งซ่อมเดือด นายกฯสั่ง“ทหาร” วางตัวเป็นกลาง : รายงานหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3748 หน้า 12 ระหว่างวันที่ 13-15 ม.ค.2565

วันอาทิตย์ที่ 16 ม.ค.2565 นี้ จะมีการเลือกตั้งซ่อมส.ส.ในพื้นที่ภาคใต้ 2 เขต 2 จังหวัด ประกอบด้วย  สงขลา เขต 6  และ ชุมพร เขต 1

 

สนามเลือกตั้งซ่อมส.ส.สงขลา เขต 6 ประกอบด้วย อำเภอคลองหอยโข่ง, อำเภอหาดใหญ่ (เฉพาะตำบลบ้านพรุและตำบลพะตง) และอำเภอสะเดา (ยกเว้นตำบลสำนักแต้วและตำบลสำนักขาม 

สนามนี้ พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) เจ้าของเก้าอี้เดิม ส่ง “สุภาพร กำเนิดผล" ลงรักษาที่นั่งเดิมของ ถาวร เสนเนียม ที่ต้องพ้นตำแหน่งไป โดยเจอคู่ต่อกรอย่าง “อนุกูล พฤกษานุศักดิ์” จากพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)   

 

ส่วนสนามเลือกตั้งซ่อมส.ส.ชุมพร เขต 1 ประกอบด้วย อำเภอเมืองชุมพร (ยกเว้นตำบลวังใหม่ ตำบลบ้านนา ตำบลหาดพันไกร ตำบลบางลึก และตำบลถ้ำสิงห์) และอำเภอสวี (ยกเว้นตำบลเขาทะลุและตำบลเขาค่าย) 

พรรคประชาธิปัตย์ ส่ง “อิสรพงษ์ มากอำไพ” เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร หลานชายภรรยา ชุมพล จุลใส อดีต ส.ส.ชุมพร เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ ที่เพิ่งพ้นสภาพจากการเป็น ส.ส. ลงรักษาเก้าอี้ ชนกับ "ชวลิต อาจหาญ" หรือทนายแดง ของพรรคพลังประชารัฐ 

 

ทั้ง 2 สนามเลือกตั้งซ่อมส.ส.ภาคใต้ครั้งนี้ ยังคงเป็นการขับเคี้ยวชิงเก้าอี้กันระหว่าง “ประชาธิปัตย์” กับ “พลังประชารัฐ”

 

เลือกตั้งซ่อมส.ส.ใต้เดือน


ภาพรวมการหาเสียงช่วงที่ผ่านมา ยิ่งใกล้วันหย่อนบัตรเลือกตั้ง การหาเสียงก็เริ่มดุเดือดมากขึ้น แม้จะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน 

 

มีการเล่นเกมการเมืองชนิดเขี้ยวรากดิน จนผู้เสียประโยชน์ ต้องออกมาโวยแทบจะรายวัน ส่งผลให้สนามเลือกตั้งซ่อมอย่าง จังหวัดชุมพร ดุเดือดลุกเป็นไฟ

 

เริ่มจาก ราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาแฉว่า มีทหารกว่า 100 นาย เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดชุมพร จึงขอเรียกร้องไปยัง พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ให้ตรวจสอบกรณีชุดทหารกว่า 100 นาย นอกพื้นที่เข้าไปยังพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 1 ชุมพร ซึ่งมีความผิดปกติและมีลักษณะของการกดดันการรณรงค์หาเสียงของพรรค โดยเฉพาะ “เสธ.ต” ที่คนในพื้นที่พูดถึงกันเป็นอย่างมาก

 

“จึงเรียกร้องให้ ผบ.ทบ.ได้เร่งตรวจสอบ หากมีการกระทำเช่นนั้นจริง ต้องสั่งการให้ชุดทหารถอยออกไป เข้ากรมเข้ากอง อย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเลือกตั้งซ่อม การวางตัวเป็นกลางสำคัญที่สุด หากใช้อำนาจรัฐในการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้ง แน่นอนว่าไม่ใช่การเลือกตั้งในระบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่อยากให้มีการใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง ขณะนี้ได้เก็บหลักฐานไว้บางส่วนแล้ว วันหนึ่งคิดว่าหลักฐานต่างๆเหล่านี้จะได้ใช้ประโยชน์เพื่อให้การเลือกตั้งบริสุทธ์และยุติธรรมต่อไป” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุ 

 

ขณะที่ทุกเวทีการปราศรัยหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะมีการพาดพิงไปถึงเรื่องการ “ใช้อำนาจรัฐแทรกแซงการเลือกตั้ง” โดยบางเวที มีการระบุชัดว่ามีการใช้ “ตำรวจ-ทหาร-ฝ่ายปกครอง” 

 

การหาเสียงเรียกได้ว่า แม้จะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง ก็ซัดกันแบบไม่ไว้หน้า ไม่ต้องเกรงใจกันแล้ว อาจเป็นเพราะรัฐบาลใกล้หมดวาระลง เลยทำให้ความเกรงใจกันเริ่มลดน้อยลง

                                             เลือกตั้งซ่อมเดือด นายกฯ สั่ง“ทหาร” วางตัวเป็นกลาง

แพ้-ชนะวัดกันที่กระสุน

 

ทั้งนี้ แหล่งข่าวระดับสูงในพรรคประชาธิปัตย์ ชี้ว่า การเลือกตั้งซ่อมจังหวัดชุมพร ดุเดือด เพราะมีการแข่งขันสูง จากเดิมที่ทีมลูกหมี ชุมพล จุลใส อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่มีกระแสข่าวว่าจะย้ายไปสังกัดพลังประชารัฐ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ดูเหมือนจะนอนมา เพราะพรรคพลังประชารัฐ ไม่ส่งแข่ง 

 

แต่เมื่อข้อตกลงไม่ลงตัว ก็ทำให้พรรคพลังประชารัฐ ส่งแข่งขัน ทำให้สนามนี้ แข่งขันกันเข้มข้น ใช้ทุกวิธี ทั้งใต้ดิน บนดิน 


ขณะที่กลยุทธ์การเอาชนะการเลือกตั้งซ่อมจังหวัดชุมพร ในโค้งสุดท้าย ของพรรคพลังประชารัฐนั้น ใช้ยุทธวิธีเดิม คือ ให้ “นักรบ” ช่วยเดิน ตามที่ถูกโฆษกพรรค ปชป.ร้องเรียน ซึ่งสูตรนี้คาดว่า พรรคพลังประชารัฐ ได้ใช้มาโดยตลอดในการเลือกตั้งซ่อม จนทำให้ชนะการเลือกตั้ง 

 

แต่เขตนี้ มีเดิมพันสูง เพราะข้อตกลงดึงตัว นายชุมพล มาไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะมีรายงานข่าวว่า จะไปร่วมพรรคใหม่กับกลุ่ม กปปส. จึงต้องสู้เสมือนเป็นการเอาคืน ดังนั้น สนามนี้จึงคาดว่า มีอีกหนึ่งยุทธวิธี ที่ถูกเอามาใช้ด้วย คือ “ปิดประตูบ้าน” โดยมีการส่งคนประกบผู้นำท้องถิ่น หรือ ที่รู้กันดีว่าเป็น “หัวคะแนน” เพื่อกดดันให้เดินลำบาก จึงน่าจับตา “คืนหมาหอน” ที่คาดว่าคนชนะจะวัดกันที่ “กระสุน” ใครจะสาดมากกว่ากัน

 

นายกฯสั่งทหารเป็นกลาง

 

สถานการณ์การเลือกตั้งซ่อมส.ส.ที่เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้าย และมีการร้องเรียนเรื่องมีการใช้ “ทหาร” เข้ามายุ่งเกี่ยว ทำให้นายกฯและรมว.กลาโหม ต้องกำชับทหารให้วางตัวเป็นกลาง โดย พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้กำชับสั่งทุกเหล่าทัพ ให้วางตัวเป็นกลางทางการเมือง และยึดการปฏิบัติตามกฎหมายในการสนับสนุนการเลือกตั้งซ่อมที่จะมีขึ้นทั้งในพื้นที่ กทม.และต่างจังหวัด  

 

โดยให้หน่วยทหารในพื้นที่พิจารณาสนับสนุนกระบวนการประชาธิปไตยด้วยความเป็นธรรมกับผู้สมัครทุกพรรคการเมืองอย่างเท่าเทียมกัน ในการนำเสนอนโยบายกับชุมชนในหน่วยทหารตามความเหมาะสม เมื่อมีการร้องขอ

 

“ขณะเดียวกัน ขอให้รณรงค์และสร้างความตื่นตัวกับกำลังพลและครอบครัว รวมทั้งชุมชนรอบหน่วยทหาร ได้ร่วมออกไปใช้สิทธิ์ตามวิถีประชาธิปไตยในการเลือกตั้งซ่อมที่จะมีขึ้นตามกำหนดโดยถ้วนหน้ากัน” โฆษกกระทรวงกลาโหม ระบุ

 

จี้กกต.สอบแจกเงินหัวละ 1,500 เขตหลักสี่

 

พรรคเพื่อไทยจี้ “รัฐ-กกต.”สอบแจกเงินซื้อเสียงเลือกตั้งซ่อมส.ส.หลักสี่ ปูดจ่ายหัวละ 1,500 บาท

 

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีที่ นายสรวงศ์ เทียนทอง รองหัวหน้าพรรค ในฐานะผอ.เลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ระบุในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 9 หลักสี่-จตุจักร มีรายงานจากบางพื้นที่โดยเฉพาะในชุมชนแออัดและในกลุ่มเปราะบาง มีพฤติกรรมของการเก็บบัตรประชาชนโดยจ่ายให้หัวละ 1,500 บาท ว่า สิ่งที่เรากังวลและเกรงกลัวในการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ คือ การใช้อำนาจรัฐ อำนาจเงิน และอำนาจการจัดการหรือเรียกสั้นๆ ว่าโกง 

 

เพราะเห็นร่องรอยหลักฐานตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อปี 2562 แต่ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ หรือมีการฟ้องร้องแต่ก็จบกระบวนการลง 

 

ดังนั้น หากภาครัฐยังปล่อยปละละเลยให้การกระทำนี้เกิดขึ้น จะท้าท้ายอำนาจประชาชนอย่างใหญ่หลวง ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญเรื่องนี้โดยจัดตั้งหน่วยงาน หรือคณะกรรมการขึ้นมา เพื่อทำเรื่องนี้เป็นการเฉพาะในการป้องกันการโกงและการใช้อำนาจรัฐโดยมิชอบ รวมถึงการป้องกันการซื้อสิทธิ์ขายเสียง ทั้งหมดอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการเพราะยังจับไม่ได้ พร้อมเตือนผู้ที่กระทำเรื่องนี้เราวางกับดักไว้หมด มีคนพร้อมอาสาเป็นเหยื่อล่อและพร้อมที่จะเป็นพยาน เพื่อให้เกิดประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

 

ส่วนที่นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดีอีเอส ผอ.เลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ระบุควรมีหลักฐานที่ชัดเจนและร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อย่ากล่าวหากันเลื่อนลอย นพ.ชลน่านกล่าวว่า หากเราร้องต่อ กกต.ไม่กล่าวหาใครเลื่อนลอยแน่ เราต้องมีหลักฐานและประจักษ์พยานนำไปสู่การเอาผิดตามกฎหมายได้ แต่สิ่งที่ปรากฏเห็นเป็นชั้น เริ่มการเตรียมการที่มีการระบุเม็ดเงินถึงรายละ 1,500 บาท ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 

 

“จึงเรียกร้องรัฐบาลแม้ไม่ใช่หน้าที่โดยตรง ต้องทำให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรม รวมทั้ง กกต.ต้องทำหน้าที่ให้ถึงที่สุด เพราะสิ่งที่ กกต.ทำในปี 2562 เราเฝ้าดูและให้กำลังใจ แต่ กกต.ทำเราผิดหวังค่อนข้างเยอะมาก ทั้งนี้ผมมั่นใจว่าชาวหลักสี่และจตุจักรจะทวงคืนศักดิ์ศรีของเขา ฉะนั้นเม็ดเงินที่เขาได้รับเป็นของแถมหรือของขวัญปีใหม่ในยุคที่ข้าวของแพง ให้เขารับแต่เขาจะไม่กาพรรคที่ให้เงินเขา ผมมั่นใจแบบนั้น”