ร้อง ป.ป.ช.สอบ บิ๊กดีอีเอส ปมเช่าระบบคอมพ์ศูนย์ดิจิทัลชุมชน

03 ธ.ค. 2564 | 04:40 น.

เครือข่ายสื่อมวลชนต่อต้านทุจริตแห่งชาติ ยื่นเรื่องร้อง ป.ป.ช.สอบ บิ๊กดีอีเอส ปมเช่าระบบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ในศูนย์ดิจิทัลชุมชน หลังตรวจสอบพบกำหนดเงื่อนไข TOR-สเปคจัดหา ส่อเอื้อคู่ค้าเก่า ทำความเสียหายแก่รัฐกว่า 300 ล้าน  

3 ธันวาคม 2564 นายณรงค์ ลาภเกิน รองประธานเครือข่ายสื่อมวลชนต่อต้านทุจริตแห่งชาติ(ส.ท.ช.) พร้อมคณะได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยมีนายปกครอง สุวรรณดารา ผู้อำนวยการกลุ่มสืบสวนและปฏิบัติการข่าว 1 รกท. ผอ. สำนักสืบสวนและกิจการพิเศษของประชาชน ป.ป.ช.เป็นตัวแทนรับมอบ 

โดยในหนังสือร้องเรียนระบุว่า เพื่อขอให้ตรวจสอบการทุจริตโครงการเช่าคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์สนับสนุนโครงการศูนย์ดิจิทัลชุมชน กลุ่มที่ 2 (จำนวน 250 ศูนย์) ภายใต้โครงการยกระดับศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน ที่สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ดำเนินการประกวดราคาไปเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2564 โดยพบว่า มีการดำเนินการไม่โปร่งใส กำหนดเงื่อนไข TOR เอื้อประโยชน์ต่อผู้เสนอราคาบางราย ให้นำเอาระบบเก่ามาส่งมอบจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ

ทั้งนี้ แต่เดิมสัญญาเช่าระบบคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์ศูนย์ดิจิทัลชุมชน เฟสแรก จำนวน 250 ศูนย์ มูลค่า 270 ล้านบาท มีระยะเวลา 1 ปีจะสิ้นสุดสัญญาในเดือนกันยายน 2564 โดยมีบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) เป็นคู่สัญญา และมีการซับงานให้บริษัทสหวิริยาโอเอ จำกัด(มหาชน) (SVOA)เป็นผู้จัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์อีกทอด ซึ่งเมื่อหมดสัญญา บริษัทที่ดูแลโครงการ (SVOA) จะต้องขนเครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์เหล่านี้กลับสำนักงาน 

แต่ปรากฏว่า สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลฯ ได้ทำการประกวดราคาจัดหาระบบคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์สนับสนุนศูนย์ดิจิทัลชุมชน ในกลุ่มที่ 2 เพิ่มเติมอีกจำนวน 250 ศูนย์ โดยมีการกำหนดเงื่อนไข TOR กำหนดสเปคจัดหาที่เอื้อประโยชน์ให้แก่กิจการร่วมค้า SA (บริษัทสหวิริยาโอเอ SVOA ร่วมกับบริษัทแอดวานซ์ อินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี) ซึ่งเป็นคู่ค้าเดิมให้เป็นผู้ชนะประกวดราคา และยังเปิดช่องให้มีการนำเอาคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์ในโครงการเดิมบางส่วนมาสวมรอยส่งมอบอีกด้วย

จากการติดตามตรวจสอบข้อมูลของเครือข่าย ส.ท.ช.พบว่า ก่อนหน้านี้ทางกรรมาธิการสื่อสารและโทรคมนาคม สภาผู้แทนฯ ได้เคยลงมาตรวจสอบโครงการนี้และเรียกผู้เกี่ยวข้องเข้าไปชี้แจง พร้อมกำชับไม่ให้มีการทุจริตแต่เมื่อมีการกำหนดเงื่อนไขจัดหาจริงกลับปรากฎว่า มีการกำหนด TOR ที่ส่อเอื้อประโยชน์ให้ผู้จัดหาระบบคอมพ์และอุปกรณ์รายเดิม คือกิจการร่วมค้า SA สามารถจะนำเอาคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์ที่ต้องส่งกลับสำนักงานใหญ่ มาดำเนินการส่งมอบได้

โดยมีการกำหนดเงื่อนไขให้พื้นที่ส่งมอบโครงการกลุ่มที่ 1 ที่เป็นศูนย์ดิจิทัลชุมชนเดิมซึ่งที่จะต้องจัดหาเครื่องคอมพิวเตร์และอุปกรณ์จำนวน 24 รายการมาทดแทนของเดิมแต่คณะกรรมการไม่มีการกำหนดคุณลักษณะของพัสดุที่จะจัดหาต้องเป็นของใหม่ ไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน

ในขณะพื้นที่ส่งมอบกลุ่มที่ 2 ที่เป็นศูนย์ดิจิทัลชุมชนใหม่ กลับมีการกำหนดสเปคระบบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่จะส่งมอบต้องเป็นของใหม่ ส่อให้เห็นว่า เป็นการกำหนดเงื่อน TOR ที่เปิดโอกาสให้กิจการร่วมค้า SA สามารถนำอุปกรณ์ที่ต้องส่งกลับสำนักงานใหญ่หลังหมดสัญญากลับมาทำสัญญาเช่าใหม่ได้ 

แม้ในข้อกำหนดระบบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ทื่ต้องส่งมอบในพื้นที่จัดหากลุ่มที่ 1 และ 2 จะมีความแตกต่างกัน แต่หากคณะกรรมการจัดซื้อจะได้พิจารณาอย่างรอบคอบย่อมต้องคำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการอย่างเคร่งครัด เพราะในเอกสารประกวดราคาหน้าที่ 1 อันเป็นข้อกำหนดหลักที่ผู้เสนอราคาทุกรายต้องปฏิบัติตามได้กำหนดข้อความชัดเจนว่า พัสดุที่จะเช่านี้ต้องเป็นของใหม่ ไม่เคยใช้งานมาก่อน ไม่เป็นของเก่าเก็บอยู่ในสภาพใช้งานได้ทันทีอยู่แล้ว

นอกจากนี้พฤติการณ์ในการเสนอราคาของผู้เข้าประกวดราคาทั้ง 3 ราย ได้แก่ กิจการร่วมค้า SA , บริษัท ริโก้ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท คอนโทรลด้าต้า (ประเทศไทย) จำกัด ก็เห็นได้ชัดเจนว่า มีการเสนอรายการพัสดุของท้ัง 2 กลุ่มเป็นยี่ห้อและ รุ่นเดียวกันเกือบทุกรายการ

โดยเฉพาะการเสนอพัสดุในกลุ่มที่ 1 เครื่องคอมพิเตอร์สำหรับงานประมวลผลที่ทุกรายมีการเสนอยี่ห้อ Lenovo รุ่น ThinkCentre M75s ในราคาค่าเช่าเครื่องละ 30,000 บาท ซึ่งเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ยี่ห้อและรุ่นตามสัญญาเก่าของบริษัท NT ทั้งหมด จึงควรเป็นข้อสงสัยในการพิจารณาว่า ผู้เสนอราคาทั้ง 3 รายมีการสมยอมในการเสนอราคาหรือไม่

ขณะเดียวกันยังพบด้วยว่า คณะกรรมการประกวดราคา ยังมีการกำหนดเงื่อนไข  TOR ที่เอื้อประโยชน์ให้กิจการร่วมค้า SA  อีกหลายประการ อาทิ การจัดส่งเจ้าหน้าที่ไปประจำศูนย์ดิจิทัลชุมชน ซึ่งในกลุ่มที่ 1 ซึ่งเป็นศูนย์เดิมไม่มีการกำหนดเงื่อนไขดังกล่าว ทำให้คู่ค้าเดิมที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกประหยัดต้นทุนไปโดยปริยาย ยังความเสียหายให้แก่ทางราชการ เฉพาะที่คำนวณเป็นตัวเงินมากกว่า 326 ล้านบาท   

ด้วยเหตุนี้ ทางเครือข่าย ส.ท.ช.จึงสงสัยในพฤติกรรมของข้าราชการเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการประกวดราคาโครงการนี้รวมไปถึงบริษัทเอกชนที่เข้าร่วมประกวดราคาที่มีพฤติกรรมสวมยอมราคาเข้าประมูล จึงขอให้คณะกรรมการป.ป.ช. ได้เข้ามาตรวจสอบและเอาผิดกับบุคคลเหล่านี้