ดร.พิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน หรือ กบง. มีมติปรับลดสัดส่วนการผสมน้ำมันไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลทั้ง 3 ชนิด ได้แก่ B20 B10 และ B7 ให้มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 7 เป็นระยะเวลา 4 เดือน คือตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.2564-31 มี.ค.2565 โดยหวังให้ราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 28 บาทต่อลิตร ว่า การลดการใช้ไบโอดีเซล ต้องไม่ลืมว่าเรื่องการทำไบโอดีเซล เป็นหนึ่งในเงื่อนไขหลักในการร่วมรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์
ดังนั้นการที่รัฐบาลจะเปลี่ยนแปลงนโยบายที่เกี่ยวพันถึงการใช้น้ำมันปาล์ม 2 หมื่นตันต่อเดือน หรือน้ำมันปาล์มสดราว 1 แสนตันต่อเดือน จะส่งผลรุนแรงต่อราคาน้ำมันปาล์มและเกษตรกรผู้ปลูกในอีกสามเดือนต่อจากนี้ จึงอยากให้พิจารณาอย่างรอบคอบ จัดกระบวนการให้ถูกต้อง และขอให้เลิกคิดกรณีจะใช้ B3 หรือ B0 ทันที โดยยืนยันว่ารัฐบาลต้องนำ B 20 มาใช้ เพราะเปอร์เซ็นต์การใช้ไม่ได้เยอะมาก และขอให้เร่งการใช้ B7 ตามเดือนต่อจากนี้
ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เห็นใจทั้งภาคขนส่งและประชาชน กับภาวะราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่การลดการใช้ไบโอดีเซล ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง เพราะสุดท้ายหากเกิดปัญหาราคาน้ำมันปาล์มตก ต่ำกว่าราคาประกันรายได้ รัฐก็ต้องควักเงินไปชดเชยเกษตรกรอยู่ดี การที่ราคาน้ำมันปาล์มขึ้น ทำให้รัฐลดภาระในส่วนนี้ไปได้ จึงอยากให้พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กปน.) คำนึงถึงผลกระทบในอนาคต อย่ากำหนดนโยบายใดเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แล้วไปเพิ่มปัญหาใหม่ในอนาคต เพราะไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืน
โดยขอเสนอแนวทางแก้ไข 5 ข้อ คือ 1 หากจะดำเนินการตามมาตรการนี้ไม่ควรทำเกิน 3 เดือน 2 ต้องไปแก้ไขคือ ราคา B100 ที่อ้างอิงไม่สะท้อนข้อเท็จจริง สูงกว่าราคาที่ซื้อขายจริง ประมาณลิตรละ 2-3 บาท ทำให้ต้นทุน B100 ในโครงสร้างราคาน้ำมันสูงเกินจริง มีคำถามว่าส่วนต่างราคาเหล่านี้ไปอยู่ในกระเป๋าของใคร และ 3 นโยบายพลังงานจะต้องนิ่งไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
เพราะความผันผวนของราคาพืชน้ำมันโลกเป็นแค่ช่วงสั้น ๆ ที่สำคัญคือรัฐบาลต้องคำนึงถึงนโยบายและสัญญาณที่ส่งไปให้เกษตรกรปาล์มน้ำมัน โดยตามแผน ADEP 2018 กำหนดว่าจะใช้ B100 วันละ 8 ล้านลิตร ทำให้เกษตรกรหันมาปลูกปาล์มมากขึ้น แต่ปัจจุบันใช้จริงอยู่ที่วันละ 4.7 ล้านลิตรเท่านั้น การเป็นนักการเมือง เป็นผู้บริหารประเทศ สิ่งสำคัญคือการรักษาสัญญาและรับผิดชอบต่อนโยบายที่กำหนดไป เพราะปลายทางคนที่จะได้รับผลกระทบคือประชาชน 4 สิ่งที่ควรพิจารณาอย่างจริงจังคือ ภาษีที่ซ้ำซ้อน ซึ่งต้องยอมรับว่ารัฐบาลชุดนี้เก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลสูงที่สุดอยู่ที่ 5.99 บาท
เมื่อรวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วจะสูงถึง 6.41 บาท และ 5 การบริหารจัดการกองทุนน้ำมัน ที่ยังถูกตั้งคำถามว่าถูกต้องหรือไม่ จากการโอนเงินส่วนนี้ไปเป็นรายได้ของรัฐกว่า 2 หมื่นล้านบาท เงินในกองทุนต่าง ๆ มีวัตถุประสงค์ในการใช้งานต่างกัน ทั้งนี้เชื่อว่าหากมีการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันที่เป็นธรรม จะช่วยปรับลดราคาน้ำมันที่ขณะนี้แพงเกินความจริงได้